แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประชาชน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประชาชน แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

“พระราชินีฯ” พระราชทานผ้าห่มกันหนาวช่วยเหลือประชาชน จ.ศรีสะเกษ


วันที่ 20 ธ.ค.2556  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มอบผ้าห่มกันหนาวพระราชทานช่วยเหลือประชาชนและพระภิกษุสงฆ์ผู้ประสบภัยหนาว จ.ศรีสะเกษ เพื่อบรรเทาความหนาวเย็นและสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชน


วานนี้ที่หอประชุมที่ว่าการ อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ จ.ศรีสะเกษ นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย ผู้แทนพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สภานายิกา สภากาชาดไทย พร้อมคณะ ได้เดินทางมามอบผ้าห่มกันหนาวพระราชทานแก่ประชาชนที่กำลังประสบภัยหนาวในเขต อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ จำนวนทั้งสิ้น 400 ชุด พร้อมทั้งถวายพระภิกษุสงฆ์จำนวน 30 ชุด โดยมี นายประทีป กีรติเรขา ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วย นางศิรดา กีรติเรขา นายกเหล่ากาชาด จ.ศรีสะเกษ และคณะกรรมการเหล่ากาชาด จ.ศรีสะเกษ ให้การต้อนรับ และร่วมพิธีมอบผ้าห่มกันหนาวในครั้งนี้

นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย ผู้แทนพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ กล่าวว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยราษฎรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ประสบภาวะความหนาวเย็น จึงได้พระราชทานความช่วยเหลือ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตนเป็นผู้แทนพระองค์นำเครื่องกันหนาว จำนวน 1,660 ชุดมาถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ และมอบแก่ประชาชน เพื่อบรรเทาความหนาวเย็นและสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชนในพื้นที่ อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ อ.ศิลาลาด อ.ราษีไศล และ อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ

ขณะที่ในช่วงเช้าผู้แทนพระองค์ได้เดินทางไปที่หอประชุมที่ว่าการ อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ และหอประชุมที่ว่าการ อ.ศิลาลาด เพื่อถวายผ้าห่มกันหนาวแด่พระภิกษุสงฆ์ อำเภอละ 30 ชุด และมอบผ้าห่มกันหนาว และเสื้อกันหนาวแก่ประชาชน อำเภอละ 400 ชุด จากนั้นในช่วงบ่ายได้เดินทางไปที่หอประชุมที่ว่าการ อ.ราษีไศล และหอประชุมที่ว่าการ อ.ยางชุมน้อย เพื่อถวายผ้าห่มกันหนาวแด่พระภิกษุสงฆ์ อำเภอละ 30 ชุด และมอบผ้าห่มกันหนาวและเสื้อกันหนาวให้แก่ประชาชน อำเภอละ 400 ชุด

นอกจากนี้ ยังมีผ้าห่มกันหนาวอีกกว่า 20,000 ผืนที่สภากาชาดไทยมอบหมายให้เหล่ากาชาด จ.ศรีสะเกษ ซึ่งดูแลรับผิดชอบพื้นที่ที่ประสบภัยหนาว นำไปมอบให้แก่ประชาชนที่เดือดร้อน โดยเป็นผ้าห่มทอมือจากฝีมือชาวบ้าน 30 จังหวัดที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสภากาชาดไทย ตามนโยบายด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นอีกภารกิจหนึ่งในการให้ความช่วยเหลือประชาชนของสภากาชาดไทย

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทรงยืนรับคลื่นลมการเมืองแทนประชาชนและบ้านเมือง


ทรงยืนรับคลื่นลม
แทนประชาชนและบ้านเมือง

                                                                พูลเดช กรรณิการ์

คนไทยทุกคนมีบุญที่ได้เกิดมาและอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของในหลวง เพราะนอกจากพระองค์จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่สุดประเสริฐ ปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม เป็น “ผู้ปกครอง” ที่ไม่มีผู้ปกครองคนใดในโลกเสมอเหมือน พระองค์ยังเป็น “พ่อของแผ่นดิน” ที่ทุ่มเทการทำงานเพื่อประชาชนอย่างที่ไม่มีผู้ปกครองคนใดในโลกทำได้ ด้วยความรักความห่วงใยในประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้หวังผลทางการเมืองหรืออย่างอื่นเช่นผู้ปกครองทั่วไป

หาก 65 ปีที่ผ่านมา คนไทยไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่สุดประเสริฐอย่างพระองค์ บ้านเมืองและคนไทยจะเป็นอย่างไรจากปัญหาการเมืองที่รุมเร้าประเทศไทยมาตลอด
     พระองค์ขึ้นครองราชย์ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของ “คณะราษฎร” สองฝ่าย ที่ต่อสู้กันมาภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นผลสำเร็จ

บ้านเมืองระส่ำระสายเพราะการต่อสู้ทางการเมือง พระมหากษัตริย์หนุ่มต้องยืนอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดจากการแย่งชิงอำนาจของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองตอนนั้น พระองค์ต้องรับแรงถาโถมทางการเมืองมากมายเพราะคำสัญญาว่า “จะไม่ทอดทิ้งประชาชน”

สถานการณ์บ้านเมืองในตอนนั้น คนไทยไม่รู้จะพึ่งใคร นอกจากพระเจ้าอยู่หัวของพวกเขา อันสะท้อนออกมาเป็นเสียงตะโกนของคนไทยผู้หนึ่งว่า “ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน”

นับแต่วันนั้นมา ในหลวงไม่เคยทั้งประชาชนเลย แม้ว่าภยันตรายทางการเมืองจะรายล้อมรอบตัวพระองค์ และ “อะไรก็เกิดขึ้นได้กับพระองค์” แม้แต่ถึงชีวิต  ถัดจากยุคคณะราษฎรสองฝ่าย พระองค์ต้องเผชิญหน้ากับเผด็จการทหารเบ็ดเสร็จครองเมืองที่ทั้งข่มขู่กดดันพระองค์ แสดงอำนาจบาตรใหญ่เหนือพระองค์ และพร้อมที่จะเป็นภยันตรายต่อพระองค์ทุกเมื่อเช่นกัน

พระองค์ต้องดำรงสถานะพระเจ้าแผ่นดินอยู่อย่างกล้ำกลืนเพื่อให้ประชาชนมีที่ยึดเหนี่ยว และทรงแปรความกล้ำกลืนเป็นการออกบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่พสกนิกรทุกหัวระแหงทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่า “พวกเขายังมีพระเจ้าอยู่หัวอยู่กับพวกเขา”

ยุคลัทธิคอมมิวนิสต์แผ่เข้าสู่ประเทศไทย พระองค์ต้องเผชิญมรสุมทางการเมืองอีกครั้ง เพราะพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ซึ่งลัทธิคอมมิวนิสต์จะต้องทำลายและล้มล้างตามสูตรการปฏิวัติประชาชนที่ทำกันมาในหลายประเทศ ทั้งที่พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ควรถูกยกเว้นการโค่นล้มทำลายและเพราะพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่อยู่นอกเหนือนิยามการถูกทำลายของลัทธิคอมมิวนิสต์นี่เอง ที่ทำให้ในที่สุดลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่สามารถชนะสงครามประชาชนในประเทศไทยได้

     เราคนไทยและประเทศไทยจึงรอดพ้นจากการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์มาได้เพราะพระองค์ท่านหมดจากยุคลัทธิคอมมิวนิสต์ แทนที่ปัญหาการเมืองจะไม่ต้องไปกระทบพระองค์อีก กลับไม่เป็นเช่นนั้น การต่อสู้ระหว่างประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตย กับเผด็จการที่ยังตกทอดมา ก่อให้เกิดวิกฤตการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า

เหตุการณ์ 14 ตุลา เหตุการณ์ 6 ตุลา เหตุการณ์พฤษภาปี 35 บ้านเมืองวิกฤตและเสียหายอย่างหนัก ประชาชนเสียเลือดเสียเนื้อ ใครเล่าจะสามารถดับวิกฤตของบ้านเมืองได้ นอกจากพระองค์

พระองค์ต้องลงมาแก้วิกฤตการเมืองของบ้านเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะไม่อาจทิ้งประชาชนและปล่อยบ้านเมืองให้ลุกลามเสียหายต่อไปได้ การเมืองยังคงวนเวียนอยู่กับพระองค์ทั้งที่ไม่ประสงค์จะเกี่ยวข้อง

มีใครสำนึกบ้างว่า พระองค์ทรงยอมเปลืองตัวเพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองที่ไม่รู้จักจบสิ้น เพื่อบ้านเมืองที่พระองค์ทรงฟูมฟักมา และเพื่อประชาชนที่พระองค์ไม่เคยทอดทิ้ง

จนในที่สุด วิกฤตการเมืองก็ถาโถมเข้าสู่พระองค์ เมื่อ “การเมืองชั่วร้าย” หันไปเล่นงานพระองค์ เพราะต้องการอำนาจสูงสุดทางการเมืองโดยที่ไม่ต้องการให้มีใครหรือสถาบันใดอยู่เหนือกว่าและคอยทัดทาน

การเมืองชั่วร้ายทำลายพระองค์ด้วยการสร้างความเข้าใจผิดต่อประชาชนที่มีต่อพระองค์ ก่อเกิดวิกฤตในบ้านเมืองสองปีซ้อนด้วยการจลาจลในปี 2552 และ 2553 สร้างความทุกข์ให้กับพระองค์ที่ทรงห่วงบ้านเมืองและประชาชนมากยิ่งขึ้นในยามที่พระชนมายุมากแล้วและยังทรงพระประชวร แทนที่พระองค์จะได้พักผ่อนและสบายพระทัยหลังจากทรงงานหนักและทรงเผชิญกับวิกฤตการเมืองมาตลอด 65 ปี

ทั้งที่พระองค์สามารถเอาพระองค์รอดได้ด้วยการลอยตัวออกจากปัญหาการเมือง แต่เพราะพระองค์ไม่เคยทิ้งประชาชนและไม่อาจปล่อยบ้านเมืองให้เสียหายได้ ทำให้พระองค์ต้องเผชิญคลื่นลมทางการเมืองแทนประชาชนตลอดมา 

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

เรื่องเล่าจากในวัง....แล้วคุณจะรัก " ในหลวง "

ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง อยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริง เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฎรตามที่ต่างๆ ได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด และถามความเป็น อยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา
ซึ่งพระองค์ทรง ตรัสถามว่า  "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ"
แม่ค้าตอบว่า "ที่ สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท
และที่เสด็จไปเสด็จมา กิโลละ 80 บาทจ๊ะ"
เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพารที่ ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
------------------------------------

เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์
ของฟ้าหญิงองค์ เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับ ฟ้าหญิง
ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสาย ด้วย
ก็มี เสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์ นางสนองพระโอฐก็ งง...งง
ว่าคนที่แบงค์ ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า
แต่ พอฟ้าหญิงรับ โทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ
ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่ เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ . ขนลุก เลย
( ทรงตรัสกับในหลวงท่านอยู่นั่น เอง)
------------------------------------

อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้าน ของราษฎรผู้หนึ่ง
ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการ กราบบังคมทูล
ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่า ฉงน
เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชา ศัพท์ได้ดีนี้
จึงมีคำกราบทูลว่า " ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผ ลิเกเก่า
บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระ พุทธเจ้าข้า.."
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ ที่ชานเรือน
ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ ตัว.
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า  " มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป
ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้ เดียว "
เรื่องนี้ ดร.สุเมธ  เล่าว่าเป็นที่ต้องสะกด กลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
------------------------------------

เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา
มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น
เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่น เรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ
ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า
"ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่ มิกกี้เมาส์"
------------------------------------

เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับ ในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้ง แผ่นดิน
และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงาน
ว่า "ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต
กราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"
"ข้าพระพุทธ เจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดชขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต
กราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"
เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียว กัน..."
ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้า ต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
------------------------------------

มีอยู่ครั้ง หนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตร
ให้กับนักศึกษา ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวน พระโอสถ
แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้
ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูล ว่า
" ถวายพระเพลิงพระเจ้า ข้า "
ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับ อธิการบดีว่า
" เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้ หรอก"

------------------------------------

เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยม เยียนราษฎร
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว
แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า
"ขอเดชะ ขอพระ หนึ่งองค์"
ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมด แล้ว"
------------------------------------

วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตาม ปกติที่ต่างจังหวัด
ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมาก มาย
พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระ บาท
ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลง กราบแทบพระบาท
แล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของ ในหลวง
แล้วก็พูดว่า ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอ ในหลวง
แล้วก็พูดว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่าง นี้
อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรง เฉยๆ
มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร
แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่
กลัวว่าพระองค์จะทรงพอ พระราชหฤหัย หรือไม่
แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบ ว่ากับหญิงชราคนนั้น
ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า
" เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อน กว่าแม่ฉันตั้งเยอะ  ต้องเรียกน้าซิถึงจะ ถูก"
------------------------------------

ครั้งหนึ่ง หลายๆ ปีมา แล้ว
พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับ พระฉวีมีพระอาการคัน
มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา
คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชา ศัพท์
ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง...อ้า - ทร งพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะ ค่ะ"
พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัส ว่า " ฉันไม่ใช่ผู้หญิง นี่จะท้องได้ยังไง"
แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกาย จริงๆ
ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้าพูดภาษา อังกฤษกันเถอะ
------------------------------------

เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟัง ว่า มีอยู่ปีนึงที่ ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อ บัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน
ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหน แล้ว
ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับ อธิการไปว่า

"เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไป แล้ว"
และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ  ไฟดับไปชั่วขณะ...
ทำให้บัณฑิตคน หนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป
พอในหลวงทรงพระราชทาน ปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท
ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับ พระราชทานอีกครั้ง
เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก
ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม
------------------------------------

ถ้ารักท่านก็ส่งไปเรื่อยๆ นะ คนไทยทุกคนจะได้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้น
ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ฯ รัชกาลที่ ๙ พ.ศ. ๒๔๙๙