แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เสด็จ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เสด็จ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลง ณ พลับพลาเก้าเหลี่ยม ริมทะเลน้อย วังไกลกังวล



วันพฤหัสบดี ที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๗.๕๕ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลง ณ พลับพลาเก้าเหลี่ยม ริมทะเลน้อย วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล อธิบดีกรมประมง พร้อมด้วยคณะ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลรายงานเกี่ยวกับการพัฒนาอาชีพการเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเล จากนั้น ทรงปล่อยพันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเลลงทะเลน้อย และพันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเลกับพันธุ์ปลาชนิดอื่น ๆ ลงทะเลอ่าวไทย ณ บริเวณริมเขื่อน วังไกลกังวล
ในโอกาสนี้ นายจรัลธาดา กรรณสูต ที่ปรึกษาสำนักราชเลขาธิการ ร่วมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ด้วย
ปลานวลจันทร์ทะเล หรือชื่อเรียกอื่น ได้แก่ ปลาดอกไม้ ปลาทูน้ำจืด ปลาชะลิน มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า มิลค์ฟิช (Milkfish) และมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ชาโนส ชาโนส (Chanos Chanos) อาศัยอยู่ทั่วไปในท้องทะเลเขตร้อน และมหาสมุทรแปซิฟิก ในประเทศไทยพบมากบริเวณทะเลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร เพชรบุรี และบางส่วนของจังหวัดตราด ทั้งนี้ ปลานวลจันทร์ทะเลจัดว่าเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญของหลายประเทศ เช่น สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐประชาชนจีน และไต้หวัน เนื่องจากมีรสชาติดี เจริญเติบโตเร็ว ทนทานต่อโรค สามารถอาศัยอยู่ได้ในน้ำที่มีความเค็มต่ำ และเลี้ยงง่าย เพราะกินอาหารได้หลากหลาย ทั้งตะไคร่น้ำ แพลงตอน ไรน้ำ รำข้าว ขี้แดด รวมถึงอาหารสำเร็จรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การที่กินพืชได้ ทำให้การเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลใช้ต้นทุนต่ำกว่าการเลี้ยงปลาชนิดอื่น ๆ ที่กินเนื้อ เหมาะสมต่อการส่งเสริมให้เพาะเลี้ยงสร้างรายได้
ประเทศไทยสำรวจพบปลานวลจันทร์ทะเลเป็นครั้งแรกบริเวณชายฝั่งทะเลบ้านคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ และได้มีการเพาะเลี้ยงขึ้น เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๐๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการเลี้ยงปลาดังกล่าว ณ สถานีประมงคลองวาฬ ซึ่งปัจจุบันคือศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ ทรงพบว่า ราษฎรในพื้นที่ได้นำลูกปลานวลจันทร์ทะเลที่จับมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อมาเลี้ยงในบ่อ ซึ่งสภาพน้ำแม้จะมีระดับความเค็มต่ำ แต่ปลานวลจันทร์ทะเลก็เจริญเติบโตได้ และสามารถขายได้ราคาดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำริที่จะส่งเสริมให้ราษฎรเลี้ยงปลาชนิดนี้เป็นอาชีพ โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ซื้อปลานวลจันทร์ทะเลจำนวนหนึ่ง ปล่อยลงสู่อ่างเก็บน้ำของโครงการอ่างเก็บน้ำเขาเต่าอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่ขณะนั้นราษฎรยังมิได้ให้ความสนใจเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลมากนัก เนื่องจากปลาชนิดนี้จะขยายพันธุ์เฉพาะแต่ในทะเลเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี กรมประมงได้ทดลองเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสถึงเหตุการณ์เมื่อปี ๒๕๐๘ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แสดงถึงพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะส่งเสริมให้ราษฎรเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลเพื่อเป็นอาชีพ ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้น้อมนำพระราชดำริดังกล่าว ไปดำเนินการสานต่ออย่างจริงจัง
ราวปี ๒๕๔๘ กรมประมง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ จึงประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเล ทั้งในด้านการปรับปรุงพันธุ์ การเร่งให้วางไข่นอกฤดูกาล การผสมเทียม และการเพิ่มอัตราการอยู่รอดของลูกปลา พร้อมกับส่งเสริมให้ราษฎรนำปลา
ที่เพาะพันธุ์ได้ดังกล่าวไปเลี้ยงเพื่อเป็นอาชีพตามพระราชดำริ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยจะนิยมเลี้ยงปลาชนิดนี้ในกระชัง บ่อพักน้ำ นากุ้งร้าง หรืออาจเลี้ยงร่วมในบ่อเดียวกับกุ้งขาว ทั้งนี้ การเลี้ยงรอบหนึ่งจะใช้เวลาประมาณ ๘ เดือน จึงจะได้ปลาที่มีน้ำหนักตามที่ตลาดต้องการ คือตัวหนึ่งราว ๖๐๐ – ๘๐๐ กรัม ใช้ต้นทุนการเลี้ยง ๒๕ – ๓๐ บาทต่อน้ำหนักปลา ๑ กิโลกรัม และสามารถจำหน่ายได้ในราคากิโลกรัมละ ๖๕ – ๗๐ บาท
อย่างไรก็ตาม ปัญหาอย่างหนึ่งของการส่งเสริมให้ราษฎรเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเล คือ ปลาชนิดนี้มีก้างมาก ระยะแรกจึงไม่เป็นที่แพร่หลายในตลาด ส่งผลให้ราคาไม่ดึงดูดความสนใจแก่ผู้เพาะเลี้ยง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงแก้ไขปัญหาโดยหาแนวทางแปรรูปปลานวลจันทร์ทะเล ให้สามารถบริโภคได้ง่ายขึ้น วิธีการหนึ่งคือเรียนรู้เทคนิคการถอดก้างปลามาจากสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ซึ่งปลานวลจันทร์ทะเลสด เมื่อถอดก้างแล้ว จะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว และสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้หลากหลายเช่น ปลานวลจันทร์ทะเลหมักสูตรฟิลิปปินส์ ปลานวลจันทร์ทะเลแดดเดียว รมควัน และต้มเค็ม เป็นต้นนอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้ราษฎรรวมกลุ่มกันเพาะเลี้ยงและแปรรูปปลานวลจันทร์ทะเลอย่างครบวงจรในลักษณะวิสาหกิจชุมชน ดังที่ปรากฏเป็นกลุ่มแปรรูปปลานวลจันทร์ทะเลบ้านคลองวาฬ ตามแนวพระราชดำริ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินถึงพลับพลาเก้าเหลี่ยม ริมทะเลน้อย วังไกลกังวล นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล อธิบดีกรมประมง พร้อมด้วยคณะ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ และกราบบังคมทูลรายงาน กับทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายหนังสือ “กรมประมงกับความสำเร็จในการพัฒนาอาชีพการเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเล” จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรวีดิทัศน์การเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเล เวลา ๗ นาที และทอดพระเนตรปลานวลจันทร์ทะเลกับปลาทูจากการเพาะเลี้ยง เสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปล่อยพันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเล จำนวน ๙๙ ตัว ลงทะเลน้อย วังไกลกังวล แล้วทอดพระเนตรผลิตภัณฑ์แปรรูปชนิดต่าง ๆ ที่แปรรูปจากปลานวลจันทร์ทะเล
จากนั้น พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล อธิบดีกรมประมง และนางนิออน พันธ์แก้ว ผู้แทนกลุ่มแปรรูปปลานวลจันทร์ทะเลบ้านคลองวาฬ ตามแนวพระราชดำริ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลานวลจันทร์ทะเล ได้แก่ ปลานวลจันทร์ทะเลก้างนิ่มอบชานอ้อย และปลานวลจันทร์ทะเลต้มเค็ม ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน ไปยังบริเวณริมเขื่อน วังไกลกังวล ทรงปล่อยพันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเล จำนวน ๕๙ ตัว ปลากุดสลาด หรือชื่อสามัญว่า บลูสปอตด์ กรูปเปอร์ (Blue Spotted Grouper) จำนวน ๓๙ ตัว ปลาเก๋าปะการัง หรือ โครัล กรูปเปอร์ (Coral Grouper) จำนวน ๔๙ ตัว ปลาทราย หรือ โอเรียนทัล ซิลลาโก (Oriental Sillago)
จำนวน ๓๙ ตัว และปลาเก๋าเสือ หรือ ไทเกอร์ กรูปเปอร์ (Tiger Grouper) จำนวน ๓๙ ตัว ลงทะเลอ่าวไทย สมควรแก่เวลา จึงเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล เมื่อเวลา ๑๘.๒๓ น.

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงานโครงการหลวง 2556


เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2556 เวลา 17.00 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงานโครงการหลวง 2556 ซึ่งมูลนิธิโครงการหลวงจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-29 ธันวาคม 2556 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

“ในหลวง” พระพักตร์แจ่มใส เสด็จฯทอดพระเนตรโครงการชั่งหัวมัน

 

เมื่อ 16 ธ.ค.2556 ‘ในหลวง’ เสด็จฯ ไปโครงการชั่งหัวมัน ทอดพระเนตรการดำเนินงานด้านปศุสัตว์ พร้อมพระราชทานนมแก่ลูกโคเพศผู้ พันธุ์โฮลสไตน์ ฟรีเชี่ยน อายุ 25 วัน เมื่อเวลา 10.09 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินจากพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไปทอดพระเนตรผลการดำเนินงานโครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ บ้านหนองคอไก่ ต.เขากระปุก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ในส่วนของพื้นที่ปศุสัตว์ ในการนี้พระราชทานนมแก่ลูกโค อายุ 25 วัน เป็นเพศผู้ พันธุ์โฮลสไตน์ ฟรีเชี่ยน หรือที่รู้จักกันในกลุ่มผู้เลี้ยงโคนมทั่วไปว่า พันธุ์ขาว-ดำ โดยเกิดจากแม่โคในโครงการเลี้ยงโคนมชื่อ แม่ใบบัว ปกติลูกโคจะได้กินนมวันละ 2 เวลาเช้า-เย็น ครั้งละ 2 ลิตร โดยใช้นมสดที่รีดมาจากแม่โค สำหรับโคนมพันธุ์ดังกล่าวเป็นที่นิยมเลี้ยงกันในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรา โดยมีคุณลักษณะพิเศษคือ ให้น้ำนมเยอะ จากนั้นได้พระราชทานหญ้าแก่แม่โคนมจำนวน 9 ตัว


ทั้งนี้ โครงการเลี้ยงโคนมแห่งนี้ เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2553 ในระยะแรกได้นำโคนมที่ปลดจากการให้นมแล้วจากโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดามาเลี้ยง 14 ตัว ต่อมาปี 2555 เริ่มนำแม่พันธุ์โคนมเข้ามาเลี้ยงในพื้นที่ 19 ไร่ เป็นโคนมที่สหกรณ์โคนมห้วยสัตว์ใหญ่ จำกัด และสหกรณ์การเกษตรชุมพร รวมทั้งฟาร์มโคนมโชคชัย น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย ปัจจุบันได้เพิ่มปริมาณมีแม่โคที่สามารถรีดน้ำนมได้ 9 ตัว มีโคท้อง 2 ตัว และลูกโคอีก 9 ตัว การรีดน้ำนมจะทำวันละ 2 เวลา คือ เวลา 07.00 น. และ 16.00 น. โดยน้ำนมสดที่ได้เฉลี่ยวันละ 150 กิโลกรัม จากนั้นส่งไปจำหน่ายที่สหกรณ์โคนมชะอำ กิโลกรัมละ 17 บาท เพื่อแปรรูปเป็นนมพาสเจอไรซ์ส่งให้โครงการนมโรงเรียนทั่วไป

อย่างไรก็ตาม เดือนมกราคมที่จะถึงนี้ โครงการชั่งหัวมันจะขยายโครงการเลี้ยงโคนมเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งจะก่อสร้างโรงงานผลิตนมพาสเจอไรซ์ และนมสเตอริไลซ์ ขึ้นภายในพื้นที่โครงการ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้น้อมเกล้าฯ ถวายโครงการก่อสร้างดังกล่าวในวงเงิน 60 ล้านบาท และทางโครงการจะสนับสนุนส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงเลี้ยงโคนมเพิ่มขึ้น เพื่อจะได้รับซื้อน้ำนมดิบในปริมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างเพียงพอสำหรับป้อนโรงงานในปริมาณวันละ 10 ตัน

 นอกจากนี้จะรับซื้อน้ำนมดิบจากสหกรณ์โคนมห้วยสัตว์ใหญ่ ซึ่งแต่เดิมส่งน้ำนมดิบไปยังโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งของเกษตรกรไม่ให้เดินทางไกล รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้ราษฎรได้ดื่มนมที่มีคุณภาพ โดยจะผลิตเป็นนมพาสเจอไรซ์ และสเตอริไรซ์ วางจำหน่ายในพื้นที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และอ.หัวหิน รวมทั้ง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกชุมนุมสหกรณ์โคนมภาคใต้ร่วมกันน้อมเกล้าฯ ถวายแม่โคสาวเพิ่มให้โครงการอีกจำนวน 14 ตัว สำหรับเลี้ยงภายในโครงการ ซึ่งดำเนินงานโดยเน้นให้เป็นแบบอย่างแก่เกษตรกรที่สนใจได้ศึกษาดูงานเพื่อนำไปพัฒนาดำเนินงานในพื้นของตนเองต่อไป ตามพระราชประสงค์ และพระราชดำริ ที่ทรงจัดตั้งโครงการแห่งนี้ขึ้นให้เป็นศูนย์รวมพันธุ์พืชเศรษฐกิจ และการสาธิตการเลี้ยงสัตว์ให้เป็นโครงการตัวอย่างให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาเรียนรู้



ทั้งนี้นับตั้งแต่เริ่มดำเนินงานมาจนถึงปัจจุบัน มีนักเรียน นักศึกษา กลุ่มเกษตรกร เข้าศึกษาดูงานอย่างต่อเนื่อง และราษฎรในพื้นที่ยังได้รับประโยชน์จากโครงการในหลายด้าน ทั้งมีไฟฟ้าใช้ มีแหล่งน้ำสำหรับทำการเกษตร และใช้อุปโภคบริโภค ตลอดจนเส้นทางการคมนาคมสะดวกมากขึ้น อีกทั้งยังเก็บผลผลิตทางการเกษตรส่งจำหน่ายให้โครงการ ซึ่งส่งไปจำหน่ายต่อยังร้านโกลเด้นเพลสสาขาต่างๆ ได้ด้วย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงติดตามผลการดำเนินงานและความคืบหน้าในแต่ละส่วนของโครงการเป็นระยะจนถึงปัจจุบัน

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

'ในหลวง' เสด็จออกท้องพระโรง 5ธันวา


'ในหลวง'เสด็จออกท้องพระโรงวังไกลกังวล 5 ธันวาคม รัฐ-เอกชนร่วมจัดงานเฉลิมพระเกียรติตลอดเดือน ส่วนราชการจัดนิทรรศการ'พระทรงเป็นยิ่งกว่ามหากษัตริย์'

เมื่อ 19 พ.ย.56 เวลา 13.50 น. นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวเตรียมการจัดงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2556

นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้รับทราบความคืบหน้าการเตรียมการพระราชพิธี และกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ ในศุภวาระเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2556 โดยสำนักพระราชวังแจ้งว่าบัดนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีหมายกำหนดการที่จะเสด็จออก ณ ท้องพระโรงศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม เวลา 10.30 น.

ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่เสด็จออก ณ ท้องพระโรงศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล โอกาสเดียวกันนี้ ทหารรักษาพระองค์จะได้เฝ้าฯ ถวายคำสัตย์ปฏิญาณด้วย

"รัฐบาลได้รับทราบข่าวที่เป็นมงคลนี้ด้วยความปีติยินดี และจะได้มอบหมายให้สื่อมวลชนของรัฐ และขอความร่วมมือสื่อภาคเอกชน ถ่ายทอดพระราชพิธีสำคัญทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์เพื่อให้ประชาชนได้ชื่นชมพระบารมีโดยทั่วถึงกัน" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

นายธงทอง กล่าวว่า รัฐบาลประสานกับทุกส่วนราชการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “พระทรงเป็นยิ่งกว่ามหากษัตริย์” ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ระหว่างวันที่ 1-10 ธันวาคม นี้ เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณที่ทรงได้รับยกย่องจากสถาบันและหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ เช่น พระราชสมัญญาต่างๆ รางวัล ปริญญากิตติมศักดิ์ และสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย

เรื่องราวเหล่านี้ทำให้เห็นตระหนักชัดเจนว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรามิได้ทรงเป็นเพียงพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นพระราชภาระหลักเท่านั้น หากยังทรงมีความรู้เชี่ยวชาญและทรงพระปรีชาสามารถในสรรพวิทยาการหลากแขนง ได้ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประชาชนคนไทยมาตลอดเวลากว่าหกสิบปี จึงขอเชิญชวนประชาชน ร่วมกิจกรรมในงานนิทรรศการดังกล่าว" ปลัดสำนักนายกฯ กล่าว

นายธงทอง กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น ส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนยังได้ร่วมมือร่วมใจจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติอีกมากมายหลายรายการ เช่น การจุดเทียนชัยถวายพระพรในค่ำวันที่ 5 ธันวาคม เวลา 19.29 น. ณ ท้องสนามหลวงและสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ กระทรวงกลาโหมจัดการแสดงวงโยธวาทิต “1 คีตมหาราชาในดวงใจ โยธวาทิตไทยสู่สากล” และการแสดงพลุเฉลิมพระเกียรติ “ดวงประทีปพราวนภา เทิดราชาราชินี บารมีศรีแผ่นดิน ครั้งที่ 6”

กระทรวงพลังงานจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติเรื่อง “พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย” สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดโครงการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ สำนักงาน ก.พ.จัดพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เป็นต้น

ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาล นอกจากการจัดนิทรรศการ “พระทรงเป็นยิ่งกว่ามหากษัตริย์” ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ในวันที่ 7 ธันวาคม เวลา 18.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล รัฐบาลจะได้จัดงานสโมสรสันนิบาตเพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายชัยมงคลในศุภวาระวันเฉลิมพระชนมพรรษา เช่นเดียวกันกับทุกปีที่ผ่านมาด้วย

ด้าน พล.ต.วราห์ บุญญะสิทธิ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 1 จัดเตรียมทหารรักษาพระองค์ 12 กองพัน และกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ 1 กองพัน เข้าร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ส่วนขั้นตอนการปฏิบัติอาจมีการปรับลดกำลังทหารที่ร่วมพิธีเพื่อความเหมาะสมกับสถานที่ ส่วนรายละเอียด และพิธีการจะมีความชัดเจนหลังจากสำนักนายกรัฐมนตรีประชุมร่วมกับกองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 25 พฤศจิกายน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทหารรักษาพระองค์ทั้ง 13 กองพันได้ทำการซ้อมในพระราชพิธีฯ อยู่ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์(ร.11 รอ.) และในวันที่ 2 ธันวาคมนี้ ทหารรักษาพระองค์ทั้งหมดจะทำการซ้อมในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ในสถานที่จริง ณ วังไกลกังวล และในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ จะมีการซ้อมใหญ่ในพระราชพิธีทุกขั้นตอนอย่างละเอียดทั้งหมด
             
ขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 1 ได้จัดเตรียมทหารรักษาพระองค์จำนวน 12 กองพัน และกองพันทหารม้ารักษาพระองค์จำนวน 1 กองพัน เข้าร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ส่วนขั้นตอนการปฏิบัติอาจมีการปรับลดกำลังทหารที่ร่วมพิธีเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสถานที่ ส่วนในรายละเอียด และพิธีการที่ชัดเจนนั้น จะต้องรอรับทราบในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ภายหลังสำนักนายกรัฐมนตรีประชุมร่วมกับกองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ทำเนียบรัฐบาล อย่างไรก็ตามขณะนี้ทหารรักษาพระองค์ทั้ง 13 กองพันได้ทำการซ้อมในพระราชพิธีฯอยู่ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์(ร.11 รอ.) และในวันที่ 2 ธันวาคมนี้ ทหารรักษาพระองค์ทั้งหมดจะทำการซ้อมในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ในสถานที่จริง ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และในวันที่ 3 ธันวาคมนี้จะมีการซ้อมใหญ่ในพระราชพิธีทุกขั้นตอนอย่างละเอียดทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ในหลวงเสด็จลอยพระประทีป


เมื่อวันที่ 17 พ.ย. เวลา 16.39 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลง ณ ท่าลัดดา วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทรงประกอบพิธีลอยพระประทีป เนื่องในวันลอยกระทง

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

เรื่องเล่าจากในวัง....แล้วคุณจะรัก " ในหลวง "

ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง อยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริง เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฎรตามที่ต่างๆ ได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด และถามความเป็น อยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา
ซึ่งพระองค์ทรง ตรัสถามว่า  "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ"
แม่ค้าตอบว่า "ที่ สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท
และที่เสด็จไปเสด็จมา กิโลละ 80 บาทจ๊ะ"
เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพารที่ ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
------------------------------------

เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์
ของฟ้าหญิงองค์ เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับ ฟ้าหญิง
ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสาย ด้วย
ก็มี เสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์ นางสนองพระโอฐก็ งง...งง
ว่าคนที่แบงค์ ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า
แต่ พอฟ้าหญิงรับ โทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ
ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่ เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ . ขนลุก เลย
( ทรงตรัสกับในหลวงท่านอยู่นั่น เอง)
------------------------------------

อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้าน ของราษฎรผู้หนึ่ง
ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการ กราบบังคมทูล
ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่า ฉงน
เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชา ศัพท์ได้ดีนี้
จึงมีคำกราบทูลว่า " ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผ ลิเกเก่า
บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระ พุทธเจ้าข้า.."
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ ที่ชานเรือน
ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ ตัว.
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า  " มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป
ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้ เดียว "
เรื่องนี้ ดร.สุเมธ  เล่าว่าเป็นที่ต้องสะกด กลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
------------------------------------

เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา
มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น
เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่น เรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ
ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า
"ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่ มิกกี้เมาส์"
------------------------------------

เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับ ในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้ง แผ่นดิน
และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงาน
ว่า "ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต
กราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"
"ข้าพระพุทธ เจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดชขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต
กราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"
เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียว กัน..."
ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้า ต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
------------------------------------

มีอยู่ครั้ง หนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตร
ให้กับนักศึกษา ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวน พระโอสถ
แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้
ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูล ว่า
" ถวายพระเพลิงพระเจ้า ข้า "
ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับ อธิการบดีว่า
" เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้ หรอก"

------------------------------------

เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยม เยียนราษฎร
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว
แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า
"ขอเดชะ ขอพระ หนึ่งองค์"
ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมด แล้ว"
------------------------------------

วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตาม ปกติที่ต่างจังหวัด
ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมาก มาย
พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระ บาท
ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลง กราบแทบพระบาท
แล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของ ในหลวง
แล้วก็พูดว่า ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอ ในหลวง
แล้วก็พูดว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่าง นี้
อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรง เฉยๆ
มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร
แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่
กลัวว่าพระองค์จะทรงพอ พระราชหฤหัย หรือไม่
แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบ ว่ากับหญิงชราคนนั้น
ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า
" เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อน กว่าแม่ฉันตั้งเยอะ  ต้องเรียกน้าซิถึงจะ ถูก"
------------------------------------

ครั้งหนึ่ง หลายๆ ปีมา แล้ว
พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับ พระฉวีมีพระอาการคัน
มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา
คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชา ศัพท์
ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง...อ้า - ทร งพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะ ค่ะ"
พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัส ว่า " ฉันไม่ใช่ผู้หญิง นี่จะท้องได้ยังไง"
แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกาย จริงๆ
ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้าพูดภาษา อังกฤษกันเถอะ
------------------------------------

เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟัง ว่า มีอยู่ปีนึงที่ ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อ บัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน
ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหน แล้ว
ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับ อธิการไปว่า

"เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไป แล้ว"
และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ  ไฟดับไปชั่วขณะ...
ทำให้บัณฑิตคน หนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป
พอในหลวงทรงพระราชทาน ปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท
ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับ พระราชทานอีกครั้ง
เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก
ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม
------------------------------------

ถ้ารักท่านก็ส่งไปเรื่อยๆ นะ คนไทยทุกคนจะได้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้น
ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ฯ รัชกาลที่ ๙ พ.ศ. ๒๔๙๙