แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม


…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษาในปี ๒๕๕๐ พสกนิกรชาวไทย จะเฉลิมฉลองมหามงคลวโรกาสนี้อย่างมีสาระได้อย่างไร กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า คนไทยจะบูชาคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ด้วยวิธีการอะไร
คนไทยสามารถบูชาคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ ๒ วิธี คือ
(๑) อามิสบูชา บูชาด้วยสิ่งของ เช่น ถวายจตุปัจจัยโดยเสด็จพระราชกุศล และ
(๒) ปฏิบัติบูชา ทำดีถวายในหลวง นั่นคือ ทำความดีตามรอยพระยุคลบาทด้วยการประพฤติปฏิบัติตามทศพิธราชธรรม
… พระนักเทศน์นักเผยแผ่และครูพระสอนศีลธรรมต้องช่วยกันสอนประชาชนทั้งหลายให้ นำทศพิธราชธรรมมาเป็นหลักประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน นับเป็นการบูชาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระเจ้าอยู่หัวด้วยปฏิบัติบูชา ซึ่งมีคุณค่ายั่งยืนกว่าอามิสบูชา
…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ต่อมาทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ในมหามงคลวโรกาสนี้ พระองค์ได้ทรงประกาศพระปฐมบรมราชโองการเป็นพระราชสัตยาธิษฐานว่า
 

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
 
ในหลวง…คำว่า “ครองแผ่นดินโดยธรรม” ในที่นี้หมายถึง “ครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม”
… ทศพิธราชธรรมนี้มีที่มาจากนิทานชาดกเรื่องมหาหังสชาดก ในชาดกเรื่องนี้ พญาหงส์ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ได้สนทนาธรรมกับพระเจ้ากรุงพาราณสีเรื่องทศพิธ ราชธรรมหรือธรรมของพระราชา ๑๐ ประการ โดยพระเจ้ากรุงพาราณสีตรัสเล่าให้พญาหงส์ฟังว่า
“เรา พิจารณาเห็นธรรม ๑๐ ประการที่มีอยู่ในตัวเราเหล่านี้ คือ ทาน (๒) ศีล (๓) บริจาค (๔) อาชชวะ (๕) มัททวะ (๖) ตบะ (๗) อักโกธะ (๘) อวิหิงสา (๙) ขันติ (๑๐) อวิโรธนะ เมื่อนั้นปีติและโสมนัสมิใช่น้อยย่อมเกิดแก่เรา”
 
… พระนักเทศน์นักเผยแผ่คงอดสงสัยว่าทำไมทศพิธราชธรรมในมหาหังสชาดกนี้จึงได้มี อิทธิพลต่อรัฏฐาภิปาลโนบายหรือวิธีการปกครองบ้านเมืองของพระมหากษัตริย์ไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงปัจจุบันมากยิ่งกว่าคำสอนเรื่องอื่น เช่น ราชสังคหวัตถุหรือจักรวรรดิวัตร
 
• คัมภีร์พระธรรมศาสตร์กับทศพิธราชธรรม
…เหตุที่ทศพิธราชธรรมในมหาหังสชาดกมีอิทธิพลต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากมายขนาด นั้นก็เนื่องมาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นกฎหมายหลักคู่บ้านคู่เมืองของไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้ถูกใช้เป็นกฎหมายแม่บทมาก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ จนกระทั่งคำว่า “ธรรมศาสตร์” ในสมัยก่อนถูกใช้ในความหมายเดียวกับคำว่า “นิติศาสตร์” ในสมัยนี้ ดังนั้นคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ก็คือคัมภีร์นิติศาสตร์นั่นเอง
…พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตต้องถือปฏิบัติตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศ อินเดีย คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ดั้งเดิมของอินเดียมีชื่อว่าพระมนูธรรมศาสตร์ ซึ่งว่าด้วยวิธีการปกครองของคนในวรรณะกษัตริย์ตามหลักวรรณธรรมคือหน้าที่ ประจำวรรณะในศาสนาพราหมณ์
… ประเทศไทยได้นำคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ฉบับมอญมาปรับเป็นของไทยเพื่อให้พระมหา กษัตริย์ทรงใช้เป็นกฎหมายแม่บทในการปกครองบ้านเมืองตั้งแต่สมัยสุโขทัย เรื่อยมาจนกระทั่งพ.ศ. ๒๓๔๘ สมัยรัชกาลที่ ๑ จึงได้มีการชำระและแปลคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นภาษาไทย เรียกชื่อใหม่ว่า กฎหมายตราสามดวง เพราะเมื่อชำระแล้วได้ประทับตรา ๓ ดวง คือ ตราพระราชสีห์ ตราพระคชสีห์ และตราบัวแก้ว
…ความสำคัญของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ในสังคมไทยเริ่มลดลงไปเมื่อประเทศไทยเริ่มปฏิรูประบบกฎหมาย บ้านเมืองตามแบบฝรั่งตะวันตก และเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ก็แทบจะถูกลืมไปเลย
…พระมหากษัตริย์สยามได้ปกครองบ้านเมืองมาด้วยคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ กฎหมายพระธรรมศาสตร์ นี่แหละเป็นรัฐธรรมนูญของสยาม พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตไม่ได้ใช้อำนาจตามอำเภอใจ แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามกฎหมายบ้านเมืองที่เรียกว่าคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ซึ่งบัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ต้องเป็นธรรมิกราชคือเป็นพระราชาผู้ทรงธรรม“ทรงตั้งอยู่ใน ราชธรรม ๑๐ ประการ ทรงเบญจางคิกศีลเป็นปรกติศีลและอัษฏางคิกศีลเป็นอุโบสถศีล” หมายความว่าพระมหากษัตริย์ต้องตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม รักษาศีล ๕ เป็นปรกติ และรักษาอุโบสถศีลในวันพระ ๘ ค่ำและ ๑๕ ค่ำ
…คัมภีร์พระ ธรรมศาสตร์ช่วยกำกับการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ให้อยู่ในขอบเขตแห่งทศพิธ ราชธรรม ซึ่งเป็นหลักประกันว่าบ้านเมืองมีความสงบสุขยุติธรรม แม้พระมหากษัตริย์จะมีอำนาจล้นฟ้าสั่งประหารชีวิตคนได้ แต่จะไม่ใช้ทรงพระราชอำนาจล้นฟ้านั้นตามใจชอบ พระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติตามกรอบแห่งกฎหมายแม่บทของบ้านเมืองสมัยโน้นคือ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ซึ่งกำหนดให้ต้องทรงปฏิบัติตามทศพิธราชธรรมหรือราชธรรม ๑๐ ประการ มี ทาน ศีล บริจาค เป็นต้น
 
• ทศพิธราชธรรมต้องเป็นปรหิตปฏิบัติ (การบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น)
 
…ทศพิธราชธรรมข้อที่ ๑ คือ
…ทานหมายถึงการให้ การให้ทานที่เป็นอัตตหิตสมบัติอย่างเดียวไม่เป็นทศพิธราชธรรม การให้ทานที่ เป็นอัตตหิสมบัติเป็นการให้ทานที่ช่วยกำจัดกิเลสคือความตระหนี่ออกไปเพื่อทำ ให้ตัวเราดีขึ้น จึงเป็นบุญกิริยาวัตถุคือวิธีทำบุญเพื่อตัวเรา แต่การให้ทานที่เป็นปรหิตปฏิบัติคือทำความดีเพื่อช่วยเหลือคนอื่นด้วยจึงจะ เป็นราชธรรมหรือธรรมสำหรับผู้ปกครอง
…การให้ทานที่มุ่งพัฒนาจิตใจของ เราฝ่ายเดียวถือเป็นความดีส่วนตัวแบบอัตตหิสมบัติ ยังไม่จัดเป็นราชธรรม แต่การให้ทานเพื่อสงเคราะห์อนุเคราะห์คนอื่นตามหลักสังคหวัตถุ ๔ จึงเป็นราชธรรมหรือธรรมสำหรับผู้ปกครอง กล่าวให้ชัดก็คือการให้ทาน การรักษาศีล การบริจาคเป็นต้น จัดเป็นราชธรรมก็ต่อเมื่อเป็นปรหิตปฏิบัติคือเป็นธรรมที่ปฏิบัติเพื่อบำเพ็ญ ประโยชน์สุขของคนอื่นเป็นสำคัญ พระราชาหรือผู้ปกครองต้องถือประโยชน์ส่วนรวมสำคัญกว่าประโยชน์ส่วนตัวเสมอ ดังพระราชดำรัสของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกที่ว่า
 
“ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง”
 
… การรักษาศีลก็เช่นเดียวกับทานคือมีวัตถุประสงค์ทั้งเพื่อประโยชน์ส่วนตัว (อัตตหิตสมบัติ)และเพื่อประโยชน์ส่วนรวม(ปรหิตปฏิบัติ) การที่พระสงฆ์รักษาศีล ๒๒๗ เพื่อพัฒนาจิตใจของตัวเองอย่างเดียวตามหลักการที่ว่าศีลทำให้สมาธิมีผลมากมี อานิสงส์มาก สมาธิทำให้ปัญญามีผลมากมีอานิสงส์มาก ปัญญาทำให้จิตหลุดพ้น การรักษาศีลเพื่อประโยชน์ส่วนตัว(อัตตหิตสมบัติ)อย่างนี้ไม่จัดเป็นราชธรรม
…การพัฒนาศีลสมาธิปัญญาเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอย่างเดียวทำให้คนเราเป็น เหมือนพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้ามีศีลสมาธิและปัญญาบริบูรณ์ แต่แทนที่ท่านจะใช้ศีลสมาธิปัญญาเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน ท่านกลับใช้ศีลสมาธิปัญญาเพื่อตนเองเท่านั้น ฝรั่งจึงเรียกพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า Silent Buddha แปลว่าพระพุทธเจ้าใบ้ คือบรรลุธรรมแล้วไม่ยอมสอนใคร
…ดังนั้น ทาน ศีล บริจาคเป็นต้นจะป็นทศพิธราชธรรมได้ก็ต่อเมื่อผู้ปฏิบัติมุ่งประโยชน์สุขส่วน รวมเป็นสำคัญ นั่นคือข้อปฏิบัติทั้ง ๑๐ ประการต้องเป็นปรหิตปฏิบัติด้วยจึงจะเป็นทศพิธราชธรรม
 
การที่พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงประกาศพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ก็เท่ากับเป็นการประกาศเจตนารมณ์ในการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น(ปรหิต ปฏิบัติ)นั่นเอง
 
ราชธรรมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถือปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวไทยตลอดระยะเวลากว่า ๖๐ ปีที่ผ่านมาก็คือทศพิธราชธรรมหรือธรรมของพระราชา ๑๐ ประการ ดังมีรายละเอียดและกรณีตัวอย่างต่อไปนี้

 
๑. ทาน การให้
…ทานคือ การให้ทรัพย์สินสิ่งของและธรรมเพื่อช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่างๆ เป็นการให้เพื่อสงเคราะห์อนุเคราะห์ตามหลักสังคหวัตถุ ๔ เป็นสำคัญ
…วิธีการให้ทานแบ่งออกเป็น ๒ อย่างคือ
(๑) อามิสทาน การให้สิ่งของ และ
(๒) ธรรมทาน (การให้ธรรมเป็นทาน) หรือวิทยาทาน (การให้ความรู้เป็นทาน)
 
…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบำเพ็ญทานเพื่อพสกนิกรของพระองค์มาโดยตลอด ทั้งที่เป็นอามิส ทานและธรรมทานคือการให้สิ่งของและการให้คำแนะนำ พระราชกรณียกิจในการบำเพ็ญทานของพระองค์สอดคล้องกับราชสังคหวัตถุข้อที่ ๑ คือ สัสสเมธะ หมายถึงความฉลาดในการบำรุงพืชพันธุ์ธัญญาหาร ส่งเสริมการเกษตร
ในหลวง ฝนหลวง…โครงการพัฒนาชนบทโครงการแรกเกิดขึ้นในปี ๒๔๙๕ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานรถบุลโดเซอร์ให้หน่วยตำรวจตระเวนชาย แดนไปสร้างถนนเข้าไปยังบ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคิรีขันธ์เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เดินทางและนำผลผลิตจากไร่นา ออกไปขายที่ตลาดได้สะดวกขึ้น
…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงส่ง เสริมการเกษตรด้วยโครงการฝนหลวงที่คนไทยทุกวันนี้รู้จักกันดี โครงการนี้ถือกำเนิดขึ้นมาจากแนวพระราชดำริที่ได้จากการเสด็จเยี่ยมราษฎรใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ ดังพระราชบันทึกตอนหนึ่งว่า
“ขณะ นั้นข้าพเจ้าได้แหงนดูท้องฟ้า และพบว่ามีเมฆจำนวนมาก แต่เมฆเหล่านั้นพัดผ่านพื้นที่แห้งแล้งไป วิธีแก้ไขอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไร ที่จะทำให้เมฆเหล่านั้นตกลงมาเป็นฝนในท้องถิ่นนั้น ความคิดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการทำฝนเทียม ซึ่งประสบความสำเร็จในอีก 2-3 ปี ต่อมาในภายหลัง”
… ปัจจุบันมีโครงการพระราชดำริที่เกิดจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวที่มีต่อพสกนิกรของพระองค์กว่า ๔,๐๐๐ โครงการ โครงการเหล่านี้คือตัวอย่างของการบำเพ็ญทศพิธราชธรรมข้อที่ ๑ คือ ทานในส่วนที่เป็นอามิสทานคือการให้สิ่งของ
…นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงบำเพ็ญวิทยาทานและธรรมทานอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างสำคัญแห่งการบำเพ็ญวิทยาทานที่ทั่วโลกยกย่องคือปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และกังหันน้ำชัยพัฒนา โดยเฉพาะกังหันน้ำชัยพัฒนาเป็นสิ่งประดิษฐ์เพื่อบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีเติม อากาศซึ่งเกิดจากพระปรีชาสามารถและพระราชดำริของพระองค์
ในหลวง พระมหาชนก…กังหันน้ำ ชัยพัฒนาได้รับสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจากกรม ทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ นับแต่นั้นมา วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ของทุกปี จึงเป็นวันนักประดิษฐ์แห่งประเทศไทย สมาพันธ์นักประดิษฐ์นานาชาติกำหนดให้วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ เป็นวันนักประดิษฐ์โลกขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิม พระชนพรรษา ๘๐ พรรษา
…ในการบำเพ็ญธรรมทานต่อพสกนิกรนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอดแทรกธรรมไว้ในพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส อยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือธรรมโดยตรง นั่นคือพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ ไว้ว่า
“หนังสือเรื่องนี้เป็นที่ รักของข้าพเจ้าเอง เป็นสิ่งที่เห็นว่ามีความสำคัญและโดยที่เป็นผู้ที่ทำขึ้นมา ถ้าไม่มีตัวเราเอง มีแต่ชาดกแล้วก็มีแต่ชาดกภาษาไทยที่แปลมาจากภาษาบาลี มีแต่ชาดกอาจจะเป็นภาษาอังกฤษที่เขาแปลมาจากภาษาบาลี ใครไปอ่านก็ไม่รู้เรื่องและไม่มีความหมายอะไรมากนัก”
… การที่ทรงบำเพ็ญทานทั้งที่เป็นอามิสทานและธรรมทานดังกล่าวมานี้จัดเป็นทศพิธ ราชธรรมข้อที่ ๑ คือทานซึ่งเป็นปรหิตปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวไทย

 
๒. ศีล ความประพฤติเรียบร้อยดีงาม
ในหลวง ทรงผนวช…ศีล คือการสำรวมระวังรักษาพฤติกรรมทางกายและทางวาจาให้ถูกต้องเรียบร้อยดีงาม ทั้งที่เป็นอัตตหิตสมบัติคือความดีงามส่วนตัวและปรหิตปฏิบัติคือความดีงาม เพื่อส่วนรวม
…การรักษาศีลที่เป็นทศพิธราชธรรมนั้นต้องเป็นปรหิต ปฏิบัติด้วย คือ ผู้ปกครองต้องมีภาพแห่งความซื่อสัตย์สุจริต สามารถทำตนเป็นแบบอย่างและเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป ไม่ทุจริตคอรัปชั่น พูดง่ายๆ ก็คือ ผู้ปกครองต้องมีชื่อเสียงเกียรติคุณอันดีงามโดยไม่มีประวัติด่างพร้อย
… ผู้ปกครองต้องมีสีลสามัญญตาคือความมีศีลเสมอกันกับสมาชิกในสังคม หมายความว่าต้องรักษาระเบียบกติกาและปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมืองเช่นเดียว กับประชาชนทั่วไปโดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้ปกครองต้องไม่ทำตัวให้อยู่เหนือกฎหมายเพราะถือตัวว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ
… เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กำลังจะเสด็จประพาสยุโรปในปี ๒๔๔๐ คงจะป็นที่ห่วงใยกันทั่วไปว่าพระองค์อาจจะถูกของร้องให้เปลี่ยนศาสนาเมื่อไป ถึงยุโรป รัชกาลที่ ๕ จึงทรงประกาศปฏิญญาในที่ประชุมมหาสมาคม ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ดังนี้
 
“ข้าพเจ้าขอกล่าวคำปฏิญาณตนต่อหน้าพระสงฆ์เถรานุเถระทั้งหลาย อันประชุมอยู่ ณ ที่ว่านั้น การที่ข้าพเจ้า คิดจะไปประเทศยุโรป ณ ครั้งนี้ ด้วยข้าพเจ้ามุ่งต่อความดีแห่งพระราชอาณาจักรและด้วยความหวังว่าจะเป็น ประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าด้วย เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าตั้งใจจะรักษาตนให้สมควรแก่ที่เป็นเจ้าของประชาชนชาวสยามทั้งปวง จะรักษาเกียรติยศแห่งพระราชอาณาจักรอันเป็นเอกราชนครนี้ จนสุดกำลังที่ข้าพเจ้าจะป้องก้นได้ และเพื่อจะให้เป็นเครื่องเตือนใจตัวข้าพเจ้า และเป็นเครื่องเย็นใจแห่งผู้ซึ่งมีความรักใคร่มุ่งหมายความดีต่อข้าพเจ้า ปราศจากวิตกกังวลใจด้วยความประพฤติรักษาของข้าพเจ้า ๆ จึงขอสมาทานข้อทั้งหลายที่จะกล่าวต่อไปนี้
๑. ข้าพเจ้าจะไม่มีจิตยินดีน้อมไปในศาสดาอื่น นอกจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมอันพระองค์ได้ตรัสรู้ชอบดีแล้ว กับทั้งพระสงฆ์หมู่ใหญ่ อันได้ประพฤติตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเลยเป็นอันขาด จนตราบกว่าสิ้นชีวิต
๒. การที่ข้าพเจ้าไปครั้งนี้ แม้ว่าจะช้านานเท่าใดก็ดี ข้าพเจ้าจะไม่ร่วมประเวณีด้วยสตรีใดจนกลับเข้ามาถึงในพระราชอาณาเขต
๓. ถึงแม้ว่าจะไปในประเทศซึ่งเขาถือกันว่า การให้สุราเมรัยไม่รับเป็นการเสียกิริยาอันดีฤาเพื่อป้องกันโรคภัยอัน เปลี่ยนอากาศเป็นต้น ข้าพเจ้าจะไม่เสพสุราเมรัยให้มึนเมาเสียสติ ฤาแม้แต่มีกายวิกลเกินปรกติเป็นอันขาด”
…การที่รัชกาลที่ ๕ ทรงทำปฏิญญาอย่างนี้ถือเป็นตัวอย่างของการรักษาศีลที่เป็นทศพิธราชธรรมเพราะมุ่งปรหิตปฏิบัติคือประโยชน์ส่วนรวม

 
… พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยที่ทรงปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมืองเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป คุณฟื้น บุณยปรัตยุธ อดีตนายอำเภอปทุมวัน นายทะเบียนในวันพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสเล่าว่า
ในหลวง ราชาภิเษกสมรส“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและม.ร.ว.สิริกิติ์ ทรงจดทะเบียนสมรสเฉกเช่นคู่สมรสทั่วไป สมุดทะเบียน สมรสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ประดิษฐ์ขึ้นเป็นพิเศษ ปกสมุดหุ้มด้วยหนังแกะอ่อนสีเหลืองเข้ม กลางปกเป็นหนังสีน้ำตาล มีอักษรตัวทองบอกว่าเป็นสมุดทะเบียนสมรส ข้อความในสมุดทะเบียนทุกอย่างคงเป็นเหมือนสมุดทะเบียนสมรสทั่วไป เกี่ยวกับการจดทะเบียนนี้ พระองค์ท่านทรงทำตามระเบียบทุกอย่างไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรสนอกสถานที่ ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท ตามระเบียบถูกต้อง”
…พระพุทธเจ้าตรัสว่ากลิ่นแห่งศีลของคนดีนั้นหอมกว่ากลิ่นหอมของดอกไม้ใดๆ
.. กลิ่นแห่งศีลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันฟุ้งขจรไปทั่วทุก ทิศานุทิศ เมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวามหาราช พสกนิกรทั่วไปต่างพร้อมใจกันรักษาศีลปฏิบัติธรรมตามรอยพระยุคลบาท หลายคนพากันอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศล
…พระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวชเป็นพระภิกษุมีอยู่ตามวัดทั่วประเทศ ในช่วงวิสาขบูชาปี ๒๕๕๐ สมเด็จพระมหาสุเมธาธิบดี (เทพวงศ์ ) สมเด็จพระสังฆราชแห่งกัมพูชา เสด็จมาที่วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ท่านเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวชตั้งอยู่ ติดกับโต๊ะหมู่บูชาที่วิหารหลวงพ่อพระพุทธนาค สมเด็จพระสังฆราชแห่งกัมพูชากล่าวเปรยว่าท่านอยากได้พระบรมฉายาลักษณ์นี้มา นานแล้วแต่ไม่ทราบว่าจะหาได้ที่ไหน เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสจึงยกพระบรมฉายาลักษณ์นั้นถวายท่านทันที ท่านรับด้วยความปีติยินดียิ่งและกล่าว่าเป็นของขวัญที่ถูกใจท่านมากที่สุด
… กลิ่นแห่งศีลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันหอมฟุ้งทวนลมไป ทั่วทุกทิศานุทิศทั้งภายในและภายนอกพระราชอาณาจักรไทยก็เพราะพระองค์ทรง ปฏิบัติทศพิธราชธรรมข้อที่ ๒ คือ ศีลนั่นเอง

 
๓. บริจาค เสียสละความสุขสบายส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม
…ทศพิธรา ชธรรมข้อนี้เป็นเรื่องของกิเลสจาคะคือสละกิเลส เช่นสละความเห็นแก่ตัวหรือความสุขสบายส่วนตัวเพื่อทำประโยชน์สุขให้แก่ ประชาชน การปฏิบัติธรรมข้อนี้มุ่ง ปรหิตปฏิบัติคือยึดประโยชน์สุขของคนอื่นเป็นที่ตั้ง ดังพุทธพจน์ในธรรมบทที่ว่า
“ถ้าเห็นว่า จะได้สุขอันยิ่งใหญ่ด้วยการสละสุขเล็กๆ น้อยๆ นักปราชญ์ก็ควรสละสุขเล็กน้อยเพื่อเห็นแก่สุขอันยิ่งใหญ่”
… เนื่องจากทศพิธราชธรรมข้อบริจาคนี้เป็นเรื่องกิเลสจาคะหมายถึงการสละกิเลส จึงต่างจากทศพิธราชธรรมข้อทานซึ่งเป็นเรื่องของอามิสจาคะหมายถึงการสละสิ่ง ของ ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างทานและบริจาคไว้ว่า ทานเป็นการสละที่ต้องมีผู้รับ เช่น เราตักบาตรก็ต้องมีพระรับบาตร แต่บริจาคคือการสละกิเลส เช่นสละความเห็นแก่ตัว ไม่ต้องมีผู้รับ
…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญทศพิธราชธรรมข้อบริจาคด้วยการสละความสุขสบายส่วนพระองค์เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม
โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา…ใครนั่งรถผ่านพระตำหนักจิตรลดารโหฐานคงจะเห็นกังหันลม ตั้งอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว นั่นเป็นเครื่อง หมายของโครงการพระราชดำริ ผมเคยเข้าไปสอนหนังสือที่โรงเรียนสวนจิตรลดา บางครั้งเจอชาวบ้านถือเคียวถืองอบนั่งเคี้ยวหมากอยู่ริมคันนาในวังสวน จิตรลดา ผมถามเจ้าหน้าที่ว่าชาวนาเหล่านี้เป็นเจ้าหน้าที่ที่ปลอมเป็นชาวนาหรือเปล่า ก็ได้รับคำตอบว่า นี่แหละชาวนาจริงๆ ในหลวงทรงให้มาดำนาเกี่ยวข้าวที่แปลงนาทดลองในวัง พันธุ์ข้าวที่เก็บเกี่ยวได้จากที่นี่ก็เอาไปหว่านในพิธีแรกนาขวัญที่สนาม หลวง
…ผู้สื่อข่าวชาวต่างประเทศคนหนึ่งได้รายงานด้วยความประหลาดใจ ว่า พระตำหนักจิตรลดารโหฐานไม่มีสิ่งหรูหราฟุ้งเฟ้อใดๆที่พระราชวังทั่วโลกมักจะ มีกัน เขาพบแต่แปลงนาปลูกข้าวและโครงการพระราชดำริต่างๆ ผู้สื่อข่าวคนนี้จึงสรุปในรายงานว่า หมดสมัยแล้วที่กษัตริย์ยุคปัจจุบันจะเป็นมหาราชด้วยการกรีฑาทัพยึดครองดิน แดนของอริราชศัตรู ถ้ากษัตริย์สมัยนี้ต้องการจะเป็นมหาราชก็ต้องเอาอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชของไทยที่ทรงเป็นมหาราชเพราะทรงประกาศสงครามกับความ ทุกข์ยากของพสกนิกรชาวไทย
…เมื่อคนเรามีความเห็นแก่ตัวน้อยลงก็จะคิด ถึงประโยชน์สุขของคนอื่นมากขึ้นโดยอัตโนมัติ หลวงวิจิตรวาทการกล่าวสรุปไว้ในหนังสือเรื่องกุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่ ว่า
“การจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่นั้นง่ายนิดเดียวคือต้องเห็นแก่ตัวให้น้อยหน่อยเท่านั้น”
… เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสละความสุขสบายส่วนพระองค์ด้วยการ บำเพ็ญทศพิธราชธรรมข้อบริจาค พระราชหฤทัยของพระองค์จึงเปี่ยมล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร พระองค์ทรงงานหนักเพื่อราษฎรโดยไม่มีวันหยุด ในหนังสือเรื่องพระธรรมิกราชของชาวไทย จัดพิมพ์โดยกรมศิลปากรเ มื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ มีข้อความตอนหนึ่งว่า
“ด้วยเหตุผลนี้ เองที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯทรงรับฟังความทุกข์ราษฎรจากปาก คำของราษฎรยังบ้านของราษฎรเองและทรงงานเพื่อราษฎรโดยไม่มีวันหยุดมาแล้วเป็น เวลาหกสิบปี ครั้งหนึ่งสำนักราชเลขาธิการได้เคยบันทึกไว้ว่าในแต่ละปีเสด็จฯออกปฏิบัติ พระราชกรณียกิจราว ๕๐๐-๖๐๐ ครั้งรวมเป็นระยะทางประมาณ ๒๕,๐๐๐ ถึง ๓๐,๐๐๐ กิโลเมตร”
ในหลวง ฝน…ร้อยเอกศรีรัตน์ หริรักษ์ เล่าไว้ในบทความ “พระบารมีปกเกล้าฯ ที่อำเภอท่ายาง” ตีพิมพ์ ในหนังสือ ๗๒ พรรษาบรมราชาธิราชเจ้านักรัฐศาสตร์ ดังนี้


“ครั้ง หนึ่งที่โครงการห้วยสัตว์ใหญ่เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ราษฎรและข้าราชการที่มาเข้าแถวรอรับเสด็จต่างเปียกปอนกันหมดแต่ก็ยังตั้งแถว เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่อย่างนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงจากเฮลิคอปเตอร์ นายตำรวจราชองครักษ์ที่ตามเสด็จได้เข้ากางร่มถวาย ทรงทอดพระเนตรเห็นบรรดาข้าราชการและราษฎรที่มายืน ตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่ต่างก็เปียกฝนโดยทั่วกัน จึงมีรับสั่งให้นายตำรวจราชองครักษ์เก็บร่มแล้วทรงพระดำเนินเยี่ยมข้าราชการ และราษฎรที่เข้าแถวรอรับเสด็จโดยทรงเปียกฝนเช่นเดียวกับข้าราชการและราษฎร ทั้งหลายที่ยืนรอรับเสด็จในขณะนั้น”
… เหล่านี้คือตัวอย่างของพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ แสดงออกถึงการบำเพ็ญทศพิธราชธรรมข้อบริจาคคือเสียสละความสุขสบายส่วนตัว เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม
 
๔. อาชชวะ ความซื่อตรง
…อาชชวะ ความซื่อตรงคือความซื่อสัตย์สุจริต บอกความจริงแก่ประชาชน ไม่ฉ้อฉลหลอกลวง ไม่ทุจริตคอรัปชั่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงอธิบายความหมายของความซื่อสัตย์สุจริตใน พระบรมราโชวาทที่พระราชทานไว้ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ ว่า
“มีคุณธรรมข้อหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งท่านต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดอยู่เสมอ คือ ความสัตย์สุจริต ประเทศบ้าน เมืองจะวัฒนาถาวรอยู่ได้ ก็ย่อมอาศัยความสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐาน ท่านทั้งหลายจะออกไปรับราชการก็ดี หรือประกอบกิจการงานส่วนตัวก็ดี ขอให้มั่นอยู่ในคุณธรรมทั้ง ๓ ประการคือ สุจริตต่อบ้านเมือง สุจริตต่อประชาชน และสุจริตต่อหน้าที่”
ในหลวง พัฒนา ประชาชน… พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าผู้นำมีความซื่อสัตย์สุจริตก็จะพาให้ผู้ตามมีความซื่อสัตย์สุจริตไปด้วย ดังพระบาลีว่า “คุนฺนญฺเจ ตรมานานํ” เป็นต้น แปลความว่า “เมื่อ ฝูงโคว่ายข้ามน้ำ ถ้าโคจ่าฝูงไปตรง โคหมดทั้งฝูงนั้นก็ไปตรงตามกัน เพราะมีผู้นำที่ไปตรง ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น บุคคลผู้ได้รับสมมติให้เป็นใหญ่ หากบุคคลผู้นั้นประพฤติชอบธรรม หมู่ประชาชนนอกนั้นก็จะพลอยดำเนินตามทั้งแว่นแคว้นก็จะอยู่เป็นสุข หากผู้ปกครองตั้งอยู่ในธรรม”
… พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติทศพิธราชธรรมข้ออาชชวะ เพราะทรงมีความซื่อสัตย์สุจริตด้วยพระองค์ด้วยและทรงสอนให้คนอื่นซื่อสัตย์สุจริตด้วย ดังกระแสพระราชดำรัสเกี่ยวกับการพัฒนาชนบท เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ ที่ว่า
“การพัฒนาชนบทเป็นงานสำคัญ เป็นงานยาก เป็นงานที่จะต้องทำให้ได้ด้วยความสามารถ ด้วยความเฉลียว ฉลาด คือต้องเฉลียวและฉลาด ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิใช่มุ่งที่จะหากินด้วยวิธีการใดๆใครอยากจะหากินขอให้ลาออกตำแหน่งไปทำการ ค้าดีกว่า เพราะถ้าทำผิดพลาดไปแล้ว บ้านเมืองจะล่มจม และเมื่อบ้านเมืองเราล่มจมแล้วเราอยู่ไม่ได้ ก็เท่ากับเสียหมดทุกอย่าง”

 
๕. มัททวะ ความอ่อนโยน
…มัททวะ เป็นการปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความอ่อนโยนสุภาพเรียบร้อย ไม่เย่อหยิ่งหลงตัวเอง มัททวะเป็นความแข็งแรงแต่ไม่แข็งกระด้างและเป็นความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ
 
ผู้นำมี ๒ ประเภทคือ (๑) ผู้นำที่นั่งอยู่บนหัวคน และ (๒) ผู้นำที่นั่งอยู่ในหัวใจคน
ผู้นำที่นั่งอยู่บนหัวคนชอบใช้ความแข็งกระด้างกดขี่คนอื่น
ผู้นำที่นั่งอยู่ในหัวใจคนชอบใช้ความอ่อนโยนผูกมัดใจคน ดังโคลงโลกนิติที่ว่า
อ่อนหวานมานมิตรล้น เหลือหลาย
หยาบบ่มีเกลอกราย เกลื่อนใกล้
ดุจดวงศศิฉาย ดาวดาษ ประดับนา
สุริยะส่องดาราไร้ เมื่อร้อนแรงแสง
 
…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้นำที่ประทับอยู่ในหัวใจคน ทรงเป็นศูนย์รวมใจของไทยทั้งชาติ เพราะทรงมีพระราชอัธยาศัยเปี่ยมล้นด้วยมัททวะคือความอ่อนโยน ดังที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระราชดำรัสแก่คณะบุคคลที่มาเข้าเฝ้าฯเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระ ชนมพรรษา วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๔ เกี่ยวกับการตามเสด็จในตอนต้นรัชกาล ซึ่งครั้งนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ ยังทรงเยาว์พระชันษา ทรงยังไม่แน่พระทัยว่าจะวางพระองค์อย่างไร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างในเรื่องของ ความอ่อนโยน ดังนี้
 
ในหลวง ยายแก่” เวลามีพระราชปฏิสันถารกับราษฎร ซึ่งเป็นชั่วโมงๆ ทีเดียว ทรงคุยกับราษฏรนี่ไม่โปรดทรงยืน ทรงถือขนบธรรมเนียมไทยที่จะไม่ยืนค้ำผู้เฒ่าผู้แก่จะประทับลงรับสั่งกับรา ษฏรเสมอมา แม้จะเป็นตอนเที่ยงแดดร้อนเปรี้ยงก็ตามซึ่งข้าพเจ้าก็เห็นพระราชจริยวัตรนี้ มาตั้งแต่ตอนต้นรัชกาลแล้ว”
 
…พวกเราคงเคย เห็นภาพหนึ่งจนชินตา เป็นภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโน้มพระองค์ไปรับดอกบัวจากคุณยายคน หนึ่ง ดอกบัวก็เหี่ยว คนถวายก็แก่ นี่เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงความอ่อนโยนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่จังหวัดนครพนมเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ วันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนมในช่วงเช้าแล้วเสด็จฯโดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูกจูงหลานมารับเสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแน่น ลูกหลานครอบครัวจันทนิตย์ช่วยกันนำแม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ อายุ ๑๐๒ ปีไปรอรับเสด็จ ณ จุดรับเสด็จตั้งแต่เช้า ลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพูให้แม่เฒ่าจำนวน ๓ ดอกและพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด เปลวแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนบ่ายแผดเผาจนดอกบัวสายในมือเริ่มเหี่ยวโรย เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า แม่เฒ่าได้ยกดอกบัวสายที่เหี่ยวโรย ๓ ดอกนั้นขึ้นเหนือศีรษะแสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง ในหลวงทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุดจนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า พระหัตถ์แตะมือกร้านของแม่เฒ่าอย่างอ่อนโยน
 
…นี่คือภาพตัวอย่างของมัททวะคือความอ่อนโยนในพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภาพนี้ชวนให้นึกถึงภาษิตอังกฤษที่ว่า
“ผู้ดีที่สุดจะสุภาพที่สุด ผู้เข้มแข็งที่สุดจะอ่อนโยนที่สุด”

 
๖. ตบะ ความเพียรเผากิเลส
…ตบะ คือความเพียรเผากิเลสตัณหา ไม่หลงระเริงไปกับคำสรรเสริญเยินยอและความสำเริงสำราญที่มาพร้อมกับอำนาจ วาสนาจนลืมปฏิบัติหน้าที่ให้บริบูรณ์ ผู้นำที่มีตบะจะสามารถควบคุมจิตใจให้พอใจกับความเรียบง่าย เขาเป็นคนที่ได้ดีแล้วไม่ลืมตัว เขาอยู่อย่างไม่ตามใจกิเลสตัณหา แม้จะมีเงินทองมากมาย เขาก็ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย
…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญตบะจึงทรงพอพระทัยกับชีวิตที่เรียบง่ายตาม ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงพระราชทานแก่ชาวไทย พระองค์เองทรงเป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ดังที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เล่าไว้ว่า
“วันหนึ่งเสด็จฯ เขาค้อเปิดอนุสาวรีย์ พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จ พระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่พระตำหนักเพื่อ จะทรงเปลี่ยนฉลองพระบาท เพราะเดี๋ยวจะไปดูงานในป่าในดง เราก็ไม่ได้ทานข้าว ไม่มีใครทานข้าว ตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้ว ก่อนจะเปลี่ยนฉลองพระบาทสักยี่สิบนาที น่าจะพุ้ยข้าวกันทัน ก็รีบวิ่งไปที่ห้องอาหารที่เตรียมไว้ ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้ตามเสด็จฯ เขาทานกันหมดแล้ว ในนั้นจึงเหลือข้าวผัดติดก้นกระบะกับมีไข่ดาวทิ้งแห้งไว้อยู่ ๓-๔ ใบ เราก็ตัก เห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้ มีข้าวผัดเหมือนอย่างเรา ไข่ดาวโปะใบหนึ่ง มีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่ เพื่อนผมก็จะไปหยิบมา มหาดเล็กบอกว่า
“ไม่ได้ ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ท่านรับสั่งให้มาตัก”
…ดูสิครับ ตักมาจากก้นกระบะเลย ผมนี่แทบน้ำตาไหลเลย ท่านเสวยเหมือนๆ กันกับเรา”
 
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีหลักการอยู่ ๓ ประการ
๑. มัตตัญญูตา ความรู้จักพอประมาณ
๒. ความมีเหตุผลคือมัชฌิมาปฏิปทา รู้จักเดินทางสายกลาง
๓. มีภูมิคุ้มกัน ๒ อย่าง คือ
(๑) มีปัญญารู้เท่าทันสามารถแก้ปัญหาได้ถูกจุด และ
(๒) มีคุณธรรมโดยเฉพาะความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานชีวิต
…การบำเพ็ญตบะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทำให้พระองค์ทรงดำรงชีวิตอย่างรู้จักพอประมาณ ซึ่งเป็นหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง หลักฐานประการหนึ่งในเรื่องนี้ก็คือหลอดยาสีพระทนต์หรือหลอดยาสีฟันของในหลวง ที่ท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ทันตแพทย์ส่วนพระองค์กล่าวถึงในการให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๔๒ ดังนี้
หลอดยาสีพระทนต์“ครั้งหนึ่งเคยกราบทูลท่านว่า ลูกศิษย์ที่มหาวิทยาลัยฟุ่มเฟือยมาก กระเป๋าถือต้องใช้ของนอกมีแบรนด์เนม บางคนไม่มีเงินซื้อก็ไปเช่าที่สยามสแควร์เดือนละพันสองพัน ไม่เหมือนสมเด็จพระเทพฯ ท่านสะพายอะไรก็ได้ วันก่อนเข้าไปในห้องสรงสมเด็จพระเทพฯ เห็นหลอดยาสีพระทนต์ สมเด็จพระเทพฯ ทรงรีดใช้จนเกลี้ยงหลอด
พระองค์ท่านตรัสว่า ….
“ของเราก็มี วันก่อนนี้ยังใช้ไม่หมด มหาดเล็กมาทำความสะอาด ห้องสรง คิดว่าหมดแล้วมาเอาไปแล้วเปลี่ยนหลอดใหม่มาให้ เราบอกให้ไปตามกลับมา เรายังใช้ต่อได้อีก ๕ วัน”
… หลังจากนั้นท่านผู้หญิงเพ็ชราได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานหลอดยาสีพระทนต์ หลอดนั้น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มหาดเล็กนำมาพระราช ทานให้ท่านถึงบ้าน เมื่อได้เห็นหลอดยาสีพระทนต์ ท่านก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่หลอดยาสีพระทนต์นั้นแบนราบเรียบตลอดคล้าย แผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอดนั้นปรากฏรอยบุ๋มลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด
… เมื่อได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯอีกครั้งในเวลาต่อมา ท่านผู้หญิงเพ็ชราจึงได้รับพระราชทานพระบรมราชาธิบายว่า หลอดยาสีพระทนต์ที่แบนราบเรียบและมีรอยบุ๋มนั้น เพราะทรงใช้แปรงสีพระทนต์รีดและกดที่คอหลอด พระมหากษัตริย์ผู้ทรงบำเพ็ญทศพิธราชธรรมข้อตบะเท่านั้นจึงจะสามารถใช้หลอดยา สีพระทนต์ได้คุ้มค่าขนาดนั้น
 
๗. อักโกธะ ความไม่โกรธ
…อักโกธะ แปลว่าความไม่โกรธ ความหมายโดยตรงก็คือความเมตตาต่อคนทั่วไป ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของความโกรธ ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ มีความสุขที่ได้พบปะประชาชนทั่วไปอย่างใกล้ชิด
ในหลวง พระราชินีพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวทรงมีเมตตาคือความรักต่อพสกนิกร พระองค์ทรงมีความสำราญพระราชหฤทัยทัยที่ได้ทรงพบปะกับราษฎรของพระองค์ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยกล่าวว่า
“เท่าที่ผมทราบมา ไม่มีอะไรที่จะทำให้ทั้งสองพระองค์สำราญพระราชหฤทัยเกินไปกว่า การที่ได้ทรงพบ ประชาราษฎรของพระองค์ แม้จะใกล้หรือไกลก็ตามที ตามที่เคยมีคำพังเพยแต่ก่อนว่า รัชกาลที่ ๑ โปรดทหาร รัชกาลที่ ๒ โปรดกวีและศิลปิน รัชกาลที่ ๓ โปรดช่างก่อสร้าง(วัด) ผมกล้าต่อให้ได้ว่า รัชกาลที่ ๙ โปรดราษฎร และคนที่เข้าเฝ้าฯได้ใกล้ชิดที่สุดคือราษฎรมิใช่ใครอื่นที่ไหนเลย”
 
… พระเมตตาคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์จัดเป็น อัปปมัญญา คือไม่จำกัดขอบเขต ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่ถือเขาถือเรา ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ดังนั้น คนไทยทั้งแผ่นดินไม่ว่าจะเป็นชาวเขาชาวเรา ชาวพุทธชาวมุสลิมต่างก็รักในหลวง วาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรี เป็นสักขีพยานที่ดีในเรื่องพระเมตตาคุณไม่จำกัดขอบเขตนี้
ในหลวง วาเด็ง…วาเด็ง ปูเต๊ะ ผู้เฒ่าวัย ๙๒ ปี แห่งอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เล่าว่า เมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว ทหารกลุ่มหนึ่งมาตามที่บ้านบอกให้เขาไปพบในหลวง ขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทอดพระเนตรความเป็นไปได้ในการสร้างอาคาร กั้นน้ำที่คลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ อำเภอสายบุรี วาเด็ง ปูเต๊ะจึงได้เฝ้าในหลวงเป็นครั้งแรก เขาเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้น ดังนี้
“ตอน นั้นผมทราบแล้วว่า เป็นในหลวง แต่จะเข้าไปใกล้ๆ ก็ไม่กล้า เพราะว่า นุ่งโสร่งตัวเดียว ไม่ได้สวมเสื้อ พอเข้าไปใกล้ๆ ในหลวงก็บอกว่า จะมาขุดคลองชลประทานให้ พอได้ยินอย่างนั้น ผมก็ดีใจมาก คุยกันเยอะ ท่านถามว่า ถ้าขุดคลองสายทุ่งเค็จนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน ผมบอกท่านว่า คลองเส้นนี้มีที่ดินติดเขตตำบลแป้น ทางเหนือขึ้นไปสุดที อำเภอศรีสาคร ในหลวงถามต่อว่า ถ้าไปออกทะเลจะมีกี่เกาะ ผมก็ตอบท่านไปว่า มี ๔ เกาะ ท่านก็ชมว่าเก่งสามารถจำทุกที่ที่ผ่านไปได้ แล้วท่านก็เปิดดูแผนที่ที่นำมาด้วย แล้วบอกว่า ผมรู้จริง ไม่โกหก ทุกสิ่งที่ผมบอกมีอยู่ในแผนที่ของพระองค์แล้ว …ในหลวงคุยกับผมเป็นภาษามลายู ท่านพูดมลายูสำเนียงไทรบุรี คุยกันก็เข้าใจเลย พอเจอกันบ่อยๆ คุยกัน มีความเห็นตรงกัน ท่านก็เลยรับผมเป็นพระสหาย ผมบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกท่านไปทั้งหมดเป็นความจริง พูดโกหกไม่ได้จะเป็นบาป ”

 
…ยิ่งไปกว่านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังสอนให้พสกนิกรของพระองค์รู้ รัก สามัคคีมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พระองค์ทรงสอนให้คนไทยมีคุณธรรมซึ่งเป็นที่ตั้งของความรัก ความสามัคคี ๔ ประการ ดังนี้
“ประการแรก คือ การที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน
ประการ ที่สอง คือ การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงาน ประสานประโยชน์กัน ให้งานที่ทำสำเร็จผล ทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่น และกับประเทศชาติ
ประการที่สาม คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกา และในระเบียบแบบแผน โดยเท่าเทียมเสมอกัน
ประการที่สี่ คือ การที่ต่างคนต่างพยายามทำความคิด ความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง และมั่นคงอยู่ในเหตุในผล”
…ถ้าพสกนิกรทุก หมู่เหล่าน้อมรับกระแสพระราชดำรัสนี้และปฏิบัติทศพิธราชธรรมข้ออักโกธะหรือ ความเมตตาตามรอยพระยุคลบาท ประเทศไทยก็จะมีความเจริญมั่นคงดำรงอยู่ต่อไปได้อีกนานแสนนาน

 
๘. อวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน
…อวิหิงสา แปลว่าความไม่เบียดเบียน หมายถึงความกรุณาต่อคนทั่วไป ไม่หาเรื่องกดขี่ข่มเหงหรือลงอาญาแผ่นดินโดยปราศจากเหตุอันควร สงสารหวั่นใจเมื่อเห็นความทุกข์ของประชาชนและหาหนทางที่จะดับทุกข์เข็ญของ พวกเขา
…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณคือมีความ สงสารเห็นใจต่อพสกนิกรของพระองค์จึงทรงมีโครงการพระราชดำริต่างๆ เพื่อช่วยเหลือราษฎร ไม่ใช่เฉพาะชาวชนบทในที่ทุรกันดารเท่านั้นที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ แม้แต่ชาวกรุงเทพมหานครก็ได้รับพระบารมีปกแผ่ด้วยเช่นกัน ดังที่กรณีน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพมหานครเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริโครงการแก้มลิงเพื่อ บรรเทาปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
…โครงการแก้มลิงมีแนวคิดจากการที่ลิงอมกล้วยไว้ในกระพุ้งแก้มไว้ได้คราวละมากๆ พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัวได้มีพระราชกระแสอธิบายว่า
” ลิงโดยทั่วไปถ้าเราส่งกล้วยให้ ลิงจะรีบปอกเปลือก เอาเข้าปากเคี้ยว แล้วนำไปเก็บไว้ที่แก้มก่อน ลิงจะทำอย่างนี้จนกล้วยหมดหวีหรือเต็มกระพุ้งแก้ม จากนั้นจะค่อยๆ นำออกมาเคี้ยวและกลืนกินภายหลัง”
…โครงการนี้มีการวางแผนใช้พื้นที่แก้มลิงรวบรวมน้ำ รับน้ำ และดึงน้ำที่ท่วมขังพื้นที่กรุงเทพมหานครตอนบนมาเก็บไว้ พร้อมกับระบายน้ำออกสู่อ่าวไทยตามจังหวะการขึ้น – ลงของระดับน้ำทะเล โดยอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลกและการสูบน้ำที่เหมาะสมสอดคล้องกับโครงการแก้มลิง
 
ในหลวง พฤษภา…เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไทยจนลุกลามนองเลือดกลายเป็น พฤษภาทมิฬในปี ๒๕๓๕ ประชาชนผู้เดือดร้อนต่างหวังพึ่งพระบารมีเพื่อสลายความขัดแย้งในครั้งนั้น ภาพที่ในหลวงทรงห้ามคู่กรณีไม่ให้ทะเลาะกันยังประทับอยู่ในความทรงจำของคน ไทยทุกคน กระแสพระราชดำรัสที่ทรงพระราชทานในเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเรื่องที่คนไทยทุก คนต้องจดจำตลอดไป โดยเฉพาะตอนที่ว่า
“ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน แก้ปัญหา เพราะว่าอันตรายมีอยู่ เวลาคนเราเกิดความ บ้าเลือดปฏิบัติการรุนแรงต่อกันแล้วมันลืมตัว ลงท้ายไม่รู้ตีกันเพราะอะไร แล้วจะแก้ไขปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทางชนะ อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้คือต่างคนต่างแพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร สมมติว่ากรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวเองว่าชนะเวลายืนอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง”
…กระแสพระราชดำรัสนี้เป็นเหมือนวาจาสิทธิ์ ที่ยุติความขัดแย้งในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬได้ชะงัดเพราะทรงเปล่งมาจากพระราช หฤทัยที่เต็มเปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรมข้ออวิหิงสาคือพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมี ต่อพสกนิกรของพระองค์นั่นเอง

 
๙. ขันติ ความอดทน
…ขันติ คือความอดทนต่ออนิฏฐารมณ์คือสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาหรือไม่น่าพอใจ เมื่อต้องประสบสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาหรือไม่น่าพอใจก็สามารถควบคุมกิริยา อาการให้นิ่งสงบอยู่ได้ เป็นนายเหนือสถานการณ์ ไม่แสดงอาการหงุดหงิดทุรนทุรายหรือแสดงความไม่พอใจจนออกนอกหน้า
…ผู้นำที่ดีต้องมีความอดทนสามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้ดีในทุกสถานการณ์ เขาใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว
…ความอดทนแบ่งออกเป็น ๓ อย่างคือ
(๑) ทนลำบาก หมายถึงทนต่อทุกขเวทนาทางกาย เช่น ความเจ็บปวด
(๒) ทนตรากตรำ หมายถึงทนหนาว ทนร้อน หนักเอาเบาสู้
(๓) ทนเจ็บใจ หมายถึง ทนต่อถ้อยคำยั่วยุเย้ยหยันหรือคำนินทาว่าร้าย
 
ในหลวง บางจาก…ผู้นำต้องพร้อมที่จะเผชิญต่อสภาวะที่ไม่พึงปรารถนารอบด้านเหมือนกับช้างศึกที่เข้าสู่สนามรบแล้วต้องทนต่อลูกศรที่ยิงใส่มาจากสี่ทิศ
… พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงานหนักมากว่า ๖๐ ปี บางครั้งแม้จะทรงลำบากตรากตรำเพียงใดก็ไม่หยุดบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ ดังที่ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่องถูกยุงกัดไว้ว่า
“ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่ เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแดง ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี”
ท่านพุทธทาสภิกขุอธิบายความหมายของความทนเจ็บใจไว้ว่า เป็นผู้ใหญ่ต้องทนต่อความโง่ของผู้น้อยได้
… เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯไปพบปะราษฎรทั่วประเทศ บางครั้งก็ต้องทรงพบกับความเชยความเปิ่นของชาวบ้านที่ต้องทรงอดทนและรับได้ ดังเรื่องต่อไปนี้
…ครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อในหลวงเสด็จฯขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จ ทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่าง น่าฉงน
เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ ราษฎรผู้นั้นกราบทูลว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า”
ในหลวงทรงพบนกในกรงที่เขาเลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว….
พ่อโต้โผลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า
“มี ทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว”
 
… พสกนิกรชาวไทยจะรับรู้ผ่านสื่อโทรทัศน์จนชินตาถึงภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวประทับนิ่งสงบนานนับชั่วโมงขณะทรงเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีต่างๆ
…ภาพแห่งความสงบนิ่งนี้สะท้อนถึงทศพิธราชธรรมข้อขันติคือความอดทนในพระราชหฤทัย
๑๐. อวิโรธนะ ความไม่คลาดจากธรรม
…อวิโรธ นะหมายถึงการยึดมั่นในหลักการปกครอง หลักนิติธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ โดยไม่ประพฤติปฏิบัติให้ผิดเพี้ยนไปจากหลักการเหล่านั้น
…ผู้ปกครอง จะมั่นคงอยู่ในหลักการเช่นนั้นได้ต้องมีปัญญารู้เท่าทันสถานการณ์และตัดสิน สั่งการโดยไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจอคติคือความลำเอียง ๔ ประการ ได้แก่
(๑) ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะชอบ
(๒) โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง
(๓) โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง
(๔) ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว
 
… สถานการณ์การเมืองในประเทศไทยเมื่อต้นปี ๒๕๔๙ เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงยึดมั่นใน อวิโรธนะคือความไม่คลาดจากธรรม
…หลายคนคงจำได้ว่ามีเสียงเรียกร้อง ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้พระราชอำนาจตามมาตรา ๗ แต่งตั้งนายกรัฐมตรีพระราชทาน ผู้เรียกร้องได้อ้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๗ ที่บัญญัติว่า
“ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
…ในวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับข้อเรียกร้องให้ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมตรีพระราชทานไว้ว่า
“ขอยืนยันว่า ไม่เคยสั่งการอะไรที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย พระราชบัญญัติต่างๆ ทำถูกต้องตามรัฐธรรมนูญทุกอย่างอย่าง ที่เขาขอร้องให้มีนายกฯพระราชทาน ไม่เคยมีข้อนี้ มีนายกฯ แบบที่มีการรับสนองพระบรมราชโองการถูกต้องทุกครั้ง มีคนเขาอาจจะมาบอกว่า พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ นี่ทำตามใจชอบ ซึ่งไม่เคยทำอะไรตามใจชอบเลย … ตั้งแต่เป็นพระมหากษัตริย์ มีรัฐธรรมนูญหลายฉบับ แล้วก็ทำมาหลายสิบปี ไม่เคยทำอะไรตามใจชอบ ถ้าทำตามใจชอบ บ้านเมืองล่มจมมานานแล้ว แต่ตอนนี้เขาขอให้ทำตามใจชอบ แล้วถ้าทำตามที่เขาขอ เขาก็จะต้องด่าว่านินทาพระมหากษัตริย์ ว่าทำอะไรตามใจชอบ ซึ่งไม่ใช่กลัว ถ้าต้องทำก็ต้องทำ แต่มันไม่ต้องทำ”
… พระราชดำรัสที่ว่า “ไม่เคยสั่งการอะไรที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ…ไม่เคยทำอะไร ตามใจชอบ” นี้แสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญทศพิธราชธรรมข้อ อวิโรธนะคือความไม่คลาดจากธรรมตลอดเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติกว่า ๖๐ ปี

 
• สรุปทศพิธราชธรรม
…ทศพิธราชธรรมที่กล่าวมาทั้ง ๑๐ ประการเหล่านี้ เมื่อกล่าวโดยสรุปก็คือไตรสิกขาได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง
…ทศพิธราชธรรมข้อต่อไปนี้คือ (๑)ทาน (๒) ศีล และ(๘) อวิหิงสา จัดเป็นศีล
…ทศพิธราชธรรมข้อต่อไปนี้คือ (๓) บริจาค (๔) อาชชวะ (๕) มัททวะ (๖) ตบะ (๗) อักโกธะ และ (๙) ขันติ จัดเป็นสมาธิ
…ทศพิธราชธรรมข้อ (๑๐) อวิโรธนะ จัดเป็นปัญญา
 
… ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา ประชาชนชาวไทยได้รับการถ่ายโอนพระราชอำนาจมาใช้บริหารและปกครองบ้านเมืองใน ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความผิดพลาดประการหนึ่งก็คือไม่มีการถ่ายโอนพระราชธรรม ๑๐ ประการมาให้ประชาชนได้ประยุกต์ใช้ในการบริหารและการปกครองบ้านเมือง
 
… พระนักเทศน์นักเผยแผ่ทั้งหลายต้องช่วยกันรณรงค์เทศนาสั่งสอนให้พสกนิกรชาว ไทยทุกหมู่เหล่าได้นำทศพิธราชธรรมมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันโดยดำเนินตาม รอยพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชผู้ทรงเป็น ธรรมิกราชคือผู้ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม

วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

“ในหลวง” ทรงติดตามการดำเนินงานโครงการชั่งหัวมัน


วันที่ 2 ม.ค.2557 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปยังโครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ทอดพระเนตรการดำเนินงานโครงการเลี้ยงโคนม โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการชั่งหัวมันขึ้น เมื่อปี 2552 ในพื้นที่ 250 ไร่ เพื่อเป็นโครงการทดลองด้านการเกษตร รวบรวมพันธุ์พืชเศรษฐกิจ และพืชพันธุ์ดีในพื้นที่มาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น และเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรแก่เกษตรกร โดยเปิดให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมดำเนินงาน ปัจจุบันสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ

จนประสบผลสำเร็จ อาทิ การใช้กังหันลมผลิตไฟฟ้าเพื่อเป็นพลังงานทดแทน, การผลิตพืชปลอดภัยจากสารพิษ, ส่งเสริมการผลิตชมพู่เพชรสายรุ้ง หน่อไม้ฝรั่ง, และพัฒนาการทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  ในการนี้ พระราชทานหญ้าพันธุ์แพงโกล่าแก่แม่โคนม จำนวน 11 ตัว และพระราชทานนมแก่ลูกวัวเพศผู้ พันธุ์โฮลสไตล์ ฟรีเชี่ยนหรือพันธุ์ขาว-ดำ อายุ 41 วัน ที่ได้พระราชทานนมให้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2556 และได้พระราชทานชื่อว่า “ตุ้ม” ขณะนี้ ลูกวัวมีพัฒนาการดี ลักษณะเหมาะเป็นพ่อพันธุ์มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม สุขภาพแข็งแรง สามารถกินหญ้าได้เอง โดยเจ้าหน้าที่ยังให้นม 1 ลิตร เช้า-เย็นไปจนกว่ากระเพาะอาหารของลูกวัวจะย่อยหญ้าได้เต็มที่ เมื่ออายุ 6 เดือน สำหรับโครงการเลี้ยงโคนม เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2553 ปัจจุบัน มีแม่โคที่สามารถรีดน้ำนมได้ 9 ตัว, โคท้อง 2 ตัว และลูกโคอีก 9 ตัว จะรีดน้ำนมเวลา 07.00 น.และ 16.00 น.สามารถรีดน้ำนมได้ 17 ลิตรต่อวัน ขณะนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้นทำให้รีดน้ำนมจากแม่โคนมบางส่วนได้น้อยลง เนื่องจากเป็นโคสายพันธุ์ยุโรปชอบอากาศเย็น ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ให้อาหารเสริมโปรตีน และให้การดูแลอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น

ในการเสด็จพระราชดำเนินมาในครั้งนี้ มีราษฎรในพื้นที่โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ และพื้นที่ใกล้เคียง มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นจำนวนมาก โดยต่างปลื้มปิติ ที่เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระพลานามัยแข็งแรงซึ่งพร้อมใจเปล่งเสียงถวายพระพร “ทรงพระเจริญ” กันอย่างกึกก้อง และรู้สึกเป็นสิริมงคล ที่ได้มีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2557

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สองธรรมราชา


ช่วงก่อนที่จะได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ประมาณ พ.ศ. 2520
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มักเสด็จฯ ไปที่วัดเพื่อสนทนาธรรม 
โดยรับเสด็จที่โบสถ์บ้าง ที่ตำหนักบ้าง แต่ช่วงหลังไม่สะดวก 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงนิมนต์เจ้าพระคุณสมเด็จฯ
กับพระสงฆ์อีก 15 รูป เข้าไปในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน 
เพื่อถวายสังฆทานทุกวันจันทร์ หลังจากถวายสังฆทานแล้ว
จะทรงสนทนาธรรมเป็นเวลานับชั่วโมง 

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
ให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปบันทึกโอวาทและเทศนาต่างๆ ในพระอุโบสถ
และคำสอนพระใหม่ คำอบรมกรรมฐานตอนกลางคืน
ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ที่วัดบวรนิเวศวิหาร 
และของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมมสาโร) วัดราชผาติการาม 
แล้วนำไปฟัง ซึ่งน่าจะเริ่มตั้งแต่ปี 2510

พลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร 
อดีตนายตำรวจราชสำนัก กล่าวถึงเรื่องเดียวกันนี้ว่า 

“ผมเชื่อว่าท่านทรงขึ้นต้นถูก และได้ครูที่มีความสามารถ ครูองค์นี้หรือรูปนี้ 
คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน 
ท่านเป็นพระพี่เลี้ยงพระเจ้าอยู่หัวในขณะที่ประทับอยู่ที่วัดบวรฯ 
เพราะฉะนั้นก็ได้ครูธรรมที่เรียกว่าชั้นยอดที่สุดของเมืองไทย 
ผมเห็นท่านทรงศึกษาจากตำราของครูบาอาจารย์เอง 
เสด็จฯ ไปที่ไหนก็ตาม ที่มีพระที่มีความรู้ทางกรรมฐาน ทางวิปัสสนา
จะเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมและรับสั่งกับพระเหล่านี้ทุกรูป

เมื่อผมยังอยู่ในวัง ผมมีหน้าที่หาพระถวายท่านเวลาเสด็จไปประทับต่างจังหวัด
เพราะเรามีหน้าที่ศึกษาภูมิประเทศเพื่อจะเตรียมการเสด็จพระราชดำเนิน
ตอนที่ออกเดินไปศึกษาภูมิประเทศ พบพระดีๆ
เราก็ต้องกลับมากราบบังคมทูลท่านว่ามีพระอยู่วัดนี้
ตอนเสด็จไปทางนั้นเราจะจัดเสด็จพระราชดำเนินให้สอดคล้องกัน
คือให้ทรงมีเวลาที่จะแวะวัดนั้นและพระเหล่านั้นด้วย
ถ้าท่านทรงศึกษาขนาดนี้แล้ว การไปหาพระก็จำเป็นน้อยลง” 
(หนังสือ ๙๙ คำถามเกี่ยวกับสมเด็จพระสังฆราช )


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
ให้สถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ขึ้นเป็น 
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เมื่อวันศุกร์ แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเส็งเอกศก จุลศักราช 1351
ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พุทธศักราช 2532
ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม 
ท่ามกลางมหาสังฆนิบาติ พระบรมวงศานุวงศ์ 
และข้าราชการทหารพลเรือน เป็นแบบแผนพระราชพิธีที่ปฏิบัติต่อมา
นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 
และเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต สืบต่อจาก 
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) 
เริ่มด้วยการจารึกพระสุพรรณบัฏ
ภายในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันแรก 

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงถวายน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวัตร
พระสุพรรณบัฏ พระตราตำแหน่ง พัดยศ และเครื่องสมณศักดิ์ ฯลฯ
แด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ใต้ร่มพระบารมี


ไม่มีพื้นแผ่นดินใดในประเทศไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยือนดูแลทุกข์สุขพสกนิกรของพระองค์ท่านเสด็จฯไปทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะลำบากยากเย็นสักเพียงไรก็ตาม

  ระหว่างเดือนกันยายนถึงยังตุลาคมของทุกปี แม้อากาศทั่วประเทศไทยจะเริ่มเย็นลงเพราะย่างเข้าสู่ฤดูหนาว แต่ทว่าหัวใจของพสกนิกรที่อาศัยจังหวัดทางภาคใต้กลับอบอุ่นอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะนั่นคือช่วงระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ด้วยมีพระราชประสงค์ที่จะทรงเยี่ยมเยือนพสกนิกรทุกหมู่เหล่าของพระองค์อย่างใกล้ชิดและจะได้ทรงทราบถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกรเหล่านั้น เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงหาทางช่วยเหลือเพื่อให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนภาคใต้ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2502 โดยทรงเริ่มจากจังหวัดชุมพรไปจนถึง นราธิวาสจังหวัดใต้สุดที่ติดชายแดนมาเลเซีย รวมเวลาทั้งสิ้น 22 วัน โดยทรงประกอบพระราชกรณียกิจและทรงเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่างๆมากมาย

  สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เสด็จเยือนปัตตานีเป็นจังหวัดแรก ตามด้วยยะลา และนราธิวาส การเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนั้นมีพสกนิกรทั้งชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมหลั่งไหลมาเฝ้าแหนเพื่อคอยรับเสด็จอย่าง  “มืดฟ้า มัวดิน”  

  ทุกคนที่เดินทางมารับเสด็จต่างมิได้ย่อท้อต่อระยะทางไกลจากภูมิลำเนาของตนแต่อย่างไรเลย ประวัติศาสตร์ในครั้งนั้นได้จารึกไว้ว่า ผู้คนที่มาเฝ้ารอนั้นมีจำนวนมากมายจนกระทั่งบางคนถึงกับต้องลงไปยืนแช่น้ำในชายฝั่งทะเลสาบสงขลาเพราะทุกพื้นที่ต่างถูกจับจองเต็มไปหมด พสกนิกรต่างเดินทางมารับเสด็จเพื่อถวายความจงรักภักดีและชื่นชมพระบารมีอย่างล้นหลาม

  การเสด็จฯเยือนภาคใต้ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เหล่าพสกนิกรได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดโดยไม่ได้ทรงถือพระองค์ และเขาเหล่านั้นก็ได้แสดงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามแบบวัฒนธรรมของตน เช่น บางคนปูผ้าเช็ดหน้าเพื่อให้พระองค์ท่านทรงพระราชดำเนินประทับรอยพระบาท

  จากนั้นนำรอยพระบาทไปเก็บไว้เพื่อเป็นสิริมงคล บางคนขอพระราชทานพระหัตถ์ของพระองค์ท่านขึ้นทูนเหนือศรีษะ เพื่อความเป็นสิริมงคลอันสูงสุดเช่นกัน ส่วนชาวไทยมุสลิมได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจูบพระหัตถ์อันเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด

  ที่จังหวัดนราธิวาสชาวไทยมุสลิมได้เชิญเสด็จเข้าประทับในสุเหร่า ทั้งๆที่ตามประเพณีทางศาสนาอิสลามจะไม่อนุญาตให้คนต่างศาสนาเข้าไปในศาสนสถานของตน 

  บางจังหวัดราษฎรได้นำสิ่งของที่มีค่าประจำตะกูลมาทูลเกล้าฯถวาย เช่น ดาบ พระพุทธรูปเก่าแก่ ซึ่งไม่ว่าราษฎรจะปฎิบัติต่อพระองค์ท่านเช่นไร พระองค์ท่านก็มิได้ทรงถือพระองค์แต่อย่างไรเลย  ยังความปิติและเป็นขวัญกำลังใจต่อราษฏรอย่างล้นพ้น

  หลังจากเสด็จฯเยือนภาคใต้เป็นครั้งที่ 2  ในเวลาต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์แทบทุกปี โดยนำมาซึ่งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากมายนับเป็นร้อยโครงการ อาทิ ด้านการเกษตร การชลประทาน การฟื้นฟูดินเปรี้ยว คมนาคม สาธารณสุข การศึกษา และด้านอื่นๆ ด้วยน้ำพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นในการพระราชทานแนวทางการแก้ไขปัญหาและการพัฒนานี้ส่งผลให้พสกนิกรของพระองค์ท่านมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

  ดังจะขอยกตัวอย่างส่วนหนึ่งด้วยเรื่องเล่าจากความซาบซึ้งในน้ำพระราชหฤทัย ดังนี้

จันทร์ ชาญแก้ : เกษตรกร

บรรพบุรุษรุ่นแล้วรุ่นเล่าของจันทร์ ชาญแก้ ล้วนทำหน้าที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติมาโดยตลอด จึงไม่น่าจะเป็นคำกล่าวที่เกินไปนัก หากจะบอกว่าภายในกายของเขามีสายเลือดความเป็นเกษตรกรอยู่อย่างเข้มข้นในทุกอณู

  “ผมเป็นเกษตรกรอยู่ในหมู่บ้านโคกอิฐ-โคกใน จังหวัดนราธิวาส ครับ ผมมีที่ดินทั้งหมด 11 ไร่  ที่ใช้ทำนาทำสวนกันมาหลายชั่วคน ในบริเวณนี้มีปัญหาดินเปรี้ยวเช่นเดียวกับหมุ่บ้านอื่นๆ พื้นที่ส่วนใหญ่มีปัญหามากหน่อยก็ทำนาไม่ได้ผลเลย แต่เราก็ทำกันมาตามมีตามเกิด จนกระทั้งเมื่อปี พ.ศ. 2540 เจ้าหน้าที่ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือโดยการขุดยกร่องสวน รวมถึงแจกหินปูนฝุ่นเพื่อมาโรยปรับปรุงดิน จากนั้นดินก็มีคุณภาพดีขึ้น แล้วเจ้าหน้าที่ เขาก็ให้พันธุ์ไม้อย่างกระท้อน เงาะ มะนาว  ส้มโอ มะพร้าวมาปลูก ประมาณ 3  ปีต่อมาผมก็มีผลผลิตมากพอที่จะนำไปขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว”

  ยากจะอธิบายได้ว่าเกษตรกรนักสู้คนนี้มีมีความรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างไรต่อพระเมตตาปราณีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงริเริ่มโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทำให้เขามีชีวิตที่เป็นสุขได้ในทุกวันนี้ แต่จันทร์บอกกับเราว่าเป็นเรื่องยากมากกว่านั้นหากจะให้เขากล่าวถึงความในใจเมื่อครั้งได้เข้าเฝ้าฯพระองค์ท่านโดยบังเอิญเมื่อปี พ.ศ. 2517

  “ตอนนั้นผมอายุประมาณ 20 ปี กำลังดำนาอยู่ในแปลงข้างถนนแล้วเห็นขบวนรถแล่นมาจอด ผมจึงขึ้นจากนาไปดูใกล้ๆ ก็เห็นในหลวงทรงเปิดประตูรถแลนด์โรเวอร์พระที่นั่งลงมา แค่เห็นแวบแรกผมก็จำพระองค์ท่านได้ทันที ผมตกใจมาก ผมรีบคุกเข่าลงแล้วก็ประนมมือไหว้ ในครั้งนั้นสมเด็จพระเทพฯก็ตามเสด็จด้วย แต่ยังทรงพระเยาว์อยู่ ตอนนั้นผมนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียว เสื้อก็ไม่ได้ใส่ แต่ในหลวงก็ได้มีพระราชปฎิสันถารกับผมนานประมาณ 1 ชั่วโมงครับ  พระองค์ท่านทรงถามว่าพื้นที่บริเวณนี้มีทั้งหมดกี่ไร่ ผมยังดีใจที่ตอบได้ใกล้เคียงว่าประมาณสองพันไร่”

  “…พอตรัสถามว่าอำเภอนี้มีทั้งหมดกี่โคก ผมก็ไล่ชื่อทั้งหมดให้ฟัง โดยที่พระองค์ท่านทอดพระเนตรแผนที่ตามไปด้วย นอกจากนั้นก็ยังทรงซักถามถึงปัญหาต่างๆของราษฎรด้วย สุดท้ายพระองค์ท่านทรงชี้ไปยังทางที่ทุรกันดารว่า  รถจะสามารถแล่นผ่านไปได้ไหม ผมก็กราบบังคมทูลไปตามตรงว่าไม่ได้  เพราะไม่มีถนน

  ก่อนเสด็จฯกลับพระองค์ท่านจึงตรัสว่า  อีกหนึ่งสัปดาห์จะเสด็จฯ ไปทางนั้นให้ได้ เพื่อสำรวจแหล่งน้ำและตรวจดูว่ามีชาวบ้านอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นมากน้อยแค่ไหน  วันต่อมาผมก็เห็นรถแทรกเตอร์และรถขนดินเข้ามาทำถนนจนเสร็จภายใน 3 วัน จากนั้นในหลวงก็เสด็จฯไปเยี่ยมประชาชนจนได้”

  เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้จันทร์รู้ซึ้งถึงพระวิริยะอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง เพราะทรงมีประโยชน์สุขของพสกนิกรเป็นที่ตั้ง

  “หลังจากที่พระองค์ท่านเสด็จฯมาครั้งนั้น  ในภาคใต้ก็เริ่มมีการพัฒนาต่างๆ ตามมามากมาย เพราะเมื่อทรงพบว่าราษฎรมีปัญหาอะไรก็จะทรงช่วยคิดหาทางแก้ไข แล้วในปีต่อๆมาก็เสด็จฯ มาเยี่ยมเยียนพวกเราเป็นประจำ

  บางครั้งพระองค์ท่านทรงลุยป่าลุยน้ำลุยคลองเข้าไปในพื้นที่ที่ยากลำบาก ผมเห็นแล้วก็รู้สึกว่าคนไทยมีบุญมากที่มีในหลวง  เวลาที่พระองค์ท่านเสด็จฯมา  ผมจะไปเฝ้าฯรับเสด็จทุกครั้ง ปีที่แล้วผมก็ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเทพฯ  เพราะเมื่อผมเป็นเกษตรกรในโครงการของศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ก็ทำให้ได้ผลผลิตงดงามมาก พระองค์จึงเสด็จฯไปทอดพระเนตรสวนของผม

“…สมเด็จพระเทพฯรับสั่งถามเรื่องการเกษตรและเรื่องน้ำเป็นหลัก พระองค์ทรงจำผมได้ เพราะผมเข้าเฝ้าฯบ่อย และตอนที่ได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นประจำปี พ.ศ.2547 และ พ.ศ. 2551 ผมก็ไปรับพระราชทานจากพระองค์ พระองค์ทรงเป็นกันเองมาก ไม่ทรงถือพระองค์ครับ อย่างตอนที่มีคนเรียกผมว่า “ลุงจันทร์” พระองค์ก็ตรัสว่า “อย่างนี้ไม่น่าจะเรียกว่าลุงจันทร์นะ น่าจะเรียกว่าพี่จันทร์มากกว่า”  (หัวเราะ)  ทรงเป็นเจ้านายที่มีพระอารมณ์ขัน ทำให้เป็นที่รักยิ่งของชาวบ้าน เช่นเดียวกับในหลวงที่ทรงเป็นดั่งศูนย์รวมดวงใจของเราทุกคน”

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงให้อย่างไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดตอบแทน ทุกวันนี้พื้นที่สวนของจันทร์พัฒนาขึ้นจาก 11 ไร่ เป็น 20 ไร่ โดยเขายึดมั่นทำการเกษตรตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“เมื่อก่อนผมไม่มีอะไรเลย ข้าวก็แทบจะไม่พอกิน แต่ตอนนี้ความเป็นอยู่ต่างกันมาก ผักผลไม้ก็มีกิน แล้วผมก็เลี้ยงปลา เลี้ยงหมู เลี้ยงวัวด้วย สมาชิกในครอบครัวของผม 6 คน อยู่กันอย่างสบาย ถ้าไม่มีในหลวงที่ทรงเป็นห่วงเป็นใยประชาชนชีวิตของผมคงไม่ดีขึ้นอย่างนี้ สิ่งที่พระองค์ท่านทรงให้ไม่ใช่ให้แล้วก็จบ แต่เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่ครอบครัวของผมเท่านั้นนะครับ ประชาชนกว่าสองพันคนในแถบนี้ต่างเป็นหนี้บุญคุณพระองค์ท่านอย่างที่ชาตินี้ไม่มีวันใช้ได้หมด หลังจากที่ในหลวงไม่ได้เสด็จฯมาภาคใต้นานแล้วด้วยทรงมีพระอาการประชวร พวกเราทุกคนก็คิดถึงพระองค์ท่านมาก”

ถ้ามีโอกาสได้ไปเยี่ยมในหลวง ผมจะถวายพระพรให้มีพระพลานามัย ที่แข็งแรงและมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน อยู่เป็นพระมิ่งขวัญของพวกเราตลอดไป”

 เพียร สอิ้งทอง : เกษตรกร

จากชายหนุ่มลูกอีสานที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่เมืองปักษ์ใต้ เพียร  สอิ้งทอง หวังว่าเขาจะสามารถสร้างชีวิตที่เปี่ยมสุขได้บนผืนแผ่นดินนี้ แต่ด้วยปัญหานานัปการที่มี ความฝันของเขาคงจะไม่อาจเป็นจริงได้เลยหากปราศจากน้ำพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“เดิมที่ผมเป็นคนจังหวัดศรีสะเกษ แถวนั้นถึงจะปลูกพืชผักได้ง่ายแต่ก็ขายยาก ไม่ค่อยได้กำไร ผมกับภรรยาจึงย้ายเข้ามาทำงานที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ตั่งแต่ปี พ.ศ. 2543 โดยมีอาชีพรับจ้างทั่วไป ตัดไม้บ้าง กรีดยางบ้าง ใครจ้างทำอะไรก็ทำหมด เพราะความรู้ก็ไม่มี ผมจบแค่ชั้น ป. 4   เท่านั้น แม้ไมถึงกับต้องอดมื้อกินมื้อแต่ก็ทำงานหนักมากกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท จนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2549  ภรรยาผมพาลูกไปหาหมอแล้วเผอิญสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จฯมาทรงเยี่ยมราษฎรในวันนั้นพอดี พระองค์ท่านจึงพระราชทานเงินช่วยเหลือมาหนึ่งหมื่นบาท

….จากนั้นก็ทรงพระเมตตาให้ภรรยาของผมไปทำงานทอผ้า ส่วนผมก็ไปฝึกงานแกะสลักไม้ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ทำให้ผมมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนที่แกะสลักไม้ด้วยกัน ว่าอยากจะหาที่ปลูกผักขาย แล้วก็นับเป้นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ในหลวงพระราชทานที่ดินทำกินในโครงการหมู่บ้านปศุสัตว์เกษตรมูโนะ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ให้ผม 3  ไร่ ซึ่งก็ถือเป็นรุ่นที่เข้าไปบุกเบิกเลย สมัยนั้นยังเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาดินเปรี้ยวแต่ผมก็พยายามพัฒนาดินให้ทำการเกษตรได้  ในระหว่างที่ผมกำลังถางหญ้าอยู่ พอดีคุณนรา สุขไชย เจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนพิกุลทองฯ มาพบเข้า เขาเห็นผมเป็นคนขยันเลยส่งเสริม

… ตอนแรกผมก็ปลูกอะไรไม่ได้มาก เพราะดินยังมีความเปรี้ยวอยู่ ผมจึงเริ่มจากพืชล้มลุกพวก ถั่ว แตง มะเขือ โดยทางศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ได้นำหินปูนฝุนและแร่โดโรไมท์มาให้เพื่อช่วยปรับปรุงดิน ทุกวันนี้ปัญหาดินเปรี้ยวก็ยังมีออยู่บ้างแต่ไม่มากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผมพบว่าสิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้มากที่สุดก็คือ หญ้าแฝก เพราะหญ้าแฝก จะอุ้มน้ำช่วยให้ดินร่วนซุย ผมจึงปลูกหญ้าแฝกเป็นแถวในร่องสวน หรือเวลาปลูกมะนาว ผมก็จะปลูกหญ้าแฝกล้อมเป็นวงกลม รวมถึงนำมาปูเป็นพรมบริเวณใต้ต้นด้วย  วิธีการนี้ได้ผลดีมากครับ”

เพียรถือเป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ต่อยอดแนวพระราชดำริไปสู่การเพาะปลูกที่เหมาะสมกับตัวเอง เนื่องจากเขาเป็นคนมานะอดทน และใฝ่เรียนรู้ จากที่เพื่อนบ้านเคยปรามาสว่าการปลูกหญ้าแฝกไม่น่าช่วยอะไร ในวันนี้เขากลับได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นผู้ปลูกและส่งเสริมหญ้าแฝก และเกษตรกรดีเด่นประจำปี พ.ศ.2553 รวมถึงเป็นแบบอย่างของวิถีการเกษตรที่แพร่หลายในจังหวัด

“ทุกวันผมจะตื่นประมาณตีสี่ตีห้ามาทำงาน เหนื่อยเมื่อไรก็พัก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ   ล่าสุดก็เพิ่งทำนาไป 2 ไร่ ช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา ผมไม่ได้ผลกระทบอะไร เพราะการชลประทานเขามาจัดระบบให้ดีขึ้นตามพระราชดำริของในหลวง ที่ผ่านมาเวลาน้ำท่วมผลผลิตของผมจะเสียหายมากกว่านี้ แต่ปีนี้ถือว่าโชคดีมาก นี่ก็ได้ยินมาว่าอาจจะมีน้ำท่วมอีกระลอก แต่ผมก็ไม่หยุด ต้องทำต่อไป เรื่อยๆ อันไหนขายได้ก็ขาย ต้นอะไรล้มตายก็เอาไปทำปุ๋ยหมัก ผมไม่เคยท้อแท้หรอกครับ ดูอย่างในหลวงท่านทรงงานหนักกว่านี้มากก็ยังไม่เคยหยุด  ผมทำเพื่อครอบครัวเดียว แต่พระองค์ท่านทรงทำเพื่อคนไทยทั้งประเทศเชียวนะ

…ตอนนี้ผมมีพื้นที่สวน 6 ไร่ ปลูกพืชเยอะมาก ทั้งมะนาว  ชะอม บัวบก  ผักกาดนกเขา กล้วย มะละกอ  โดยช่วยกันดูแลกับภรรยา และมีลูกๆมาช่วยบ้าง ผมมีลูกทั้งหมด 7 คน โดยมีสองคนไปอยู่กับ ตายายที่อีสาน แต่ผมก็มีรายได้พอเพียงที่จะเลี้ยงพวกเขาทุกคน เมื่อก่อนตอนทำงานรับจ้างผมมีรายได้วันละ 200 บาท แต่เดี๋ยวนี้ขายผลผลิตได้วันละ 800 บาท อย่างมะนาวในสวนก็จะสามารถเก็บขายได้อย่างน้อยวันละ 20 กิโล และจะมีแม่ค้ามารับซื้อถึงที่เลย เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนชีวิตของผมจึงนับว่าดีขึ้นมาก”

จากชีวิตที่เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัว เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกที่มีต่อพระองค์ท่าน ในแววตาของเกษตรกรแห่งบ้านมูโนะจึงเต็มไปด้วยน้ำตาคลอหน่วย

“ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีครับคำถามนี้มีคนถามผมบ่อย และทุกครั้งผมก็อยากจะตอบให้ดีที่สุด แต่พอพูดทีไรน้ำตาก็ไหล (เสียงสั่นเครือ)  เพราะพระองค์ท่านทรงให้ชีวิตใหม่กับผมและครอบครัว ผมอยากให้โครงการในพระราชดำริทั้งหลายคงอยู่ต่อไป เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือคนยากคนจนให้มีอยู่มีกิน ทุกวันนี้ผมมีความรู้อะไรเกี่ยวกับการเกษตรก็พยายามที่จะเผยแพร่แก่ผู้อื่น เพราะในหลวงทรงเป็นตัวอย่างให้เห็น เมื่อทรงให้แก่เราแล้วก็ทำให้เรารู้สึกว่าอยากจะเผื่อแผ่แก่คนอื่นบ้าง ผมจึงบอกไม่ถูกจริงๆ ว่าพระองค์ท่านยิ่งใหญ่แค่ไหนในความรู้สึกของผม”

แม้เพียรจะไม่สามารถอธิบายความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของตนเองได้ แต่น้ำตาที่ไหลจากหัวใจที่ภักดีก็ทำหน้าที่บอกเล่าถึงความรักและเทิดทูนที่เขามีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้อย่างชัดเจน โดยไม่จำเป็นต้องมีถ้อยคำใดๆ มาอธิบาย

ขอบคุณ นิตยสาร ลิปส์

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานถุงยังชีพช่วยน้ำท่วมชลบุรี

006976

  นายประสงค์ วิทูลกิจจา เลขาธิการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และคณะกรรมการมูลนิธิ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดชลบุรี นำถุงยังชีพพระราชทาน จำนวน 1,000 ชุด ไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบอุทกภัยที่ อ.พนัสนิคม ซึ่งได้รับความเดือดร้อนทั้งสิ้น 28 ตำบล 186 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับผลกระทบ 11,241 ครัวเรือน จากมวลน้ำหลากท่วมพื้นที่การเกษตร บ้านเรือน เส้นทางคมนาคม รวมถึงสิ่งสาธารณประโยชน์เสียหาย ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา

  ปัจจุบัน พื้นที่ได้พ้นวิกฤตแล้วส่วนใหญ่ ซึ่งผู้ประสบภัยที่เข้ารับถุงยังชีพพระราชทานต่างทราบซึ้งในพระมหา กรุณาธิคุณที่ทรงห่วงใยความเดือดร้อนราษฎรในฐานะพ่อของแผ่นดินเสมอมา

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย จ.นครราชสีมา

32f3f9dbd4790d2fe45fb55ff54
      
  วานนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จากส่วนกลางและประจำ จังหวัดนครราชสีมา นำเครื่องอุปโภคบริโภคไปมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่อำเภอพิมาย, อำเภอชุมพวง และอำเภอโนนแดง รวม 2,000 ครัวเรือน
  ซึ่งได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากฝนตกหนัก ส่งผลกระทบต่อเขตเทศบาลนครนครราชสีมา และต้องระบายน้ำจากเขื่อนระบายน้ำบ้านคนชุม ที่อยู่เหนือเส้นทางการไหลของน้ำในลำตะคอง ทำให้มวลน้ำจากพื้นที่ต่างๆไหลสะสมรวมกัน จนประสบอุทกภัยในครั้งนี้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย จ.สระแก้ว-จันทบุรี

32f3f9dbd4790d2fe45fb55ff546
     
  มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปภัมภ์ ได้มอบให้ นายประสงค์ พิทูรกิจจา เลขาธิการ นายกองเอก วิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ ประธานฝ่ายบรรเทาทุกข์ และคณะจากส่วนกลาง พร้อมด้วยกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ประจำจังหวัดสระแก้ว เดินทางไปมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัย ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองสระแก้ว จำนวน 1,000 ครัวเรือน
  จากนั้น เวลา 14.00 น. คณะมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปภัมภ์ พร้อมด้วยกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ประจำจังหวัดจันทบุรี เดินทางไปมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัย ณ องค์การบริหารส่วนตำบลเทพนิมิตร อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี จำนวน 400 ครัวเรือน และเวลา 16.30 น. เดินทางไปมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัย ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอนายายอาม จำนวน 600 ครัวเรือน รวมทั้งหมด 2,000 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าสิ่งของพระราชทานทั้งสิ้น 1,085,420 บาท

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


  โครงการ ช่วยเหลือราษฎรของพระองค์ก่อนที่จะพระราชทานไปนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงศึกษาทดลองจนรู้จริง จากสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ จากความเห็นของราษฎร และ นักวิชาการในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียหาย และติดตามผลด้วยพระองค์เอง
  โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการ ได้บูรณาการให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรทั่วทุกภาค เช่น โครงการด้านเกษตรกรรม การสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การชลประทาน การประมงการสหกรณ์ ฯลฯ
  ตัวอย่าง โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เกิดประโยชน์ต่อชุมชนชนบท เป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้เพื่อการพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่น ทรงมีพระราชดำริจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 6 แห่ง ทั่วประเทศ ที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดสกลนคร จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดนราธิวาส เพื่อเป็นตัวอย่างกับเกษตรกรและประชาชนครอบคลุมทุกภูมิภาค
  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวไทยทุกเชื้อชาติ ศาสนา ทั่วทุกภาคของประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของราษฎรอย่างแท้จริง พระองค์ได้พระราชทานแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นแก่นแท้ของการ พัฒนาที่ยั่งยืน

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช



พระราชกรณียกิจโดยสังเขป
  พระราชกรณียกิจพระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นสืบราชสันตติวงศ์ต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๙ แห่งบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลา ๖๐ ปีที่พระองค์ทรงดำรงฐานะเป็นพระประมุขของชาติ เป็นระยะเวลาการครองราชย์ที่ยาวนานกว่ามหาราชาองค์ใดในโลกและบูรพกษัตริย์องค์ใดในแดนสยาม และเป็นเวลา ๖๐ ปีนี้เอง ที่พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกาย พระสติปัญญาความสามารถ และพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอยู่เป็นนิจนานัปการ ด้วยหวังให้มหาชนชาวสยามถึงพร้อมด้วยประโยชน์สุข ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ตั้งแต่สมัยเมื่อเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ดังพระปฐมบรมราชโองการที่ได้พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยเมื่อครั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม
  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดพระองค์หนึ่งของโลก พระราชกรณียกิจของพระองค์มีมากมาย ทั้งในด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ด้านการศึกษา ด้านศาสนา ด้านความมั่นคงภายในประเทศ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้านศิลปะวัฒนธรรม และด้านการกีฬา
  แต่พระราชกรณียกิจหลักของพระองค์คือ การยกระดับสภาพความเป็นอยู่ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังท้องที่ต่างๆ พร้อมทอดพระเนตรสภาพปัญหาในท้องที่เหล่านั้นด้วยพระองค์เอง พระองค์จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละปี เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักตามภูมิภาคต่างๆ และจะทรงหาโอกาสเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ใกล้เคียงอยู่เสมอ จนอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีพื้นที่แห่งใดในประเทศไทย ที่พระองค์ไม่เคยเสด็จพระราชดำเนินไปถึง
  ตลอด ๖๐ ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่พระองค์ทรงงานอย่างไม่เคยว่างเว้น และทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่ถึงพร้อมทั้งความบริสุทธิ์บริบูรณ์ จึงเป็นช่วงเวลา ๖๐ ปีที่พสกนิกรชาวไทยอยู่ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุขภายใต้ร่มพระบารมี พระราชกรณียกิจทั้งหลายที่พระองค์ทรงบำเพ็ญ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ที่พระองค์ทรงมีต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

“ในหลวง” โปรดเกล้าฯ จัดหน่วยเคลื่อนที่ช่วยผู้ประสบอุทกภัย จ.ปราจีนบุรี

563588_10152608450415752_880046035_n

  วันนี้ ( 25 ก.ย.2556) “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดหน่วยสงเคราะห์เคลื่อนที่ไปช่วยเหลือราษฎรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี
  วานนี้นายกองเอกวิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ ประธานฝ่ายบรรเทาทุกข์ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และคณะเดินทางไปมอบเครื่องอุปโภคบริโภคพระราชทานแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัย ณ ที่ว่าการอำเภอกบินทร์บุรี, ที่ว่าการอำเภอศรีมหาโพธิ์ และที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี รวม 2,000 ครัวเรือน
  ซึ่งจังหวัดปราจีนบุรี เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ ส่งผลให้น้ำป่าจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ทับลาน ไหลเข้าท่วมในหลายพื้นที่พร้อมกัน ทำให้บ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรเสียหายจำนวนมาก  ขณะนี้มีพื้นที่ประสบภัยแล้ว 5 อำเภอ 39 ตำบล โดยจังหวัดได้บูรณาการหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง และได้รับความช่วยเหลือจากมณฑลทหารบกที่ 12 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรในเบื้องต้นแล้ว เนื่องจากระดับน้ำสูงและมีบริเวณกว้าง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ฯ รัชกาลที่ ๙ พ.ศ. ๒๔๙๙