วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556
เราหลงลืมอะไรไปหรือเปล่า
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้เปิดเผยถึง สิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงคนไทยมากที่สุดและสิ่งที่ทรงขอจากคนไทยว่า
“สิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงคนไทยเห็นจะเป็นเรื่อง จิตสำนึกที่มีต่อแผ่นดินนี้ ส่วนเรื่องที่พระเจ้าอยู่หัวทรงปรารถนามากที่สุดและทรงรับสั่งขอไว้ คือ อยากจะเห็นคนไทยมีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องทำ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยความเข้าใจ ด้วยสติและปัญญา โดยมีความรักความเมตตาเป็นองค์ประกอบสำคัญ รวมถึงมีความสมัครสมานสามัคคี ในการรักษาหรือดำเนินการภารกิจใดๆ ผมคิดว่าถ้าคนไทยถวายพระพรด้วยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ตามที่พระองค์ได้ทรงขอมา จะเป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์ท่านชื่นพระทัยที่สุด เพราะแผ่นดินนี้คงจะมีความสุขสงบตลอดไป”
พลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ กล่าวถึงปัญหาพฤติกรรมลบหลู่ จาบจ้วง ล่วงเกินอย่างหยาบคาย ที่ทำต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า
“ถึงเวลาแล้วที่เราไม่ควรเลี่ยง เพราะไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป อุดมคติเกี่ยวกับการเมืองของคนในโลกนี้ไม่เหมือนกัน ความต้องการผิดแผกแตกต่างกันได้ ซึ่งเป็นธรรมดาที่คนในบ้านในเมืองต้องการการปกครองที่แตกต่างกัน ซึ่งเมืองไทยกำลังเผชิญปัญหานี้ มีคนไม่ต้องการพระมหากษัตริย์ ลุกขึ้นปลุกปั่น ตั้งเป็นขบวนการ เผยแพร่ข้อความชักจูงคนให้เห็นด้วย”
พลตำรวจเอกวสิษฐ กล่าวต่อว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสมบัติของท่านทั้งหลายที่ทำให้เราอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ หน้าที่จึงเป็นของทุกคน คือเมื่อรู้แล้วว่า มีพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเป็นห่วงคนไทยทุกเรื่อง แล้วเราจะนั่งเฉยๆ อยู่อีกหรือไม่ หรือจะพูดให้ลูกหลาน เพื่อน คนรอบข้าง ได้เข้าใจ และหากไม่มีใครป้องกันสมบัติชิ้นนี้ก็ให้รู้ไป แต่ผมจะป้องกันของผม”
เราหลงลืมอะไรไปหรือเปล่า… เราลืมไปว่า คนไทยโชคดีแค่ไหนที่มีพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงรักคนไทยมากที่สุด…
หากเรารักในหลวง เราควรทำให้มากกว่าคิด ทำให้มากกว่าพูด ทำให้มากกว่ารู้สึก มาร่วมกันทำดี ตราบจนลมหายใจสุดท้ายที่จะรดลงบนผืนแผ่นดินนี้.
ที่มา : ส่วนหนึ่งจากคอลัมน์ศิลาในน้ำเชี่ยว
“ในหลวง” พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
17 ต.ค.2556 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
เวลา 17.13 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมวโรกาสให้ นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี พร้อมคณะกรรมการและผู้บริหารบริษัท เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานแผ่นจารึกที่ทรงเจิม สำหรับเชิญไปประดิษฐานที่บริเวณโถงอาคารเอสซีจี 100 ปี บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน เพื่อทรงใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย ในการนี้ มีพระราชดำรัสกับคณะผู้มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
” ความยินดีนี้ให้แก่ เจ้าหน้าที่ทุกคนโดยที่ไม่ได้ ผู้ที่ไม่ได้มา ไม่ได้ในวันนี้ และขอบใจที่ทุกคนพยายามที่จะปฏิบัติให้บริษัทเจริญรุ่งเรืองต่อไป ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ขอแสดงความยินดีแก่ทุกๆ ท่าน “
จากนั้น พระราชทานพระบรมวโรกาสให้ นายธวัชชัย ทวีศรี ประธานผู้ริเริ่มโครงการจัดสร้างเหรียญที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวชพลังแผ่นดิน และพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช พร้อมผู้ให้การสนับสนุนโครงการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน ซึ่งเป็นรายได้จากโครงการเพื่อสมทบทุนจัดสร้างสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช โรงพยาบาลศิริราช
โอกาสนี้ นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานมูลนิธิ คิง เพาเวอร์ และประธานกรรมการกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงผนวช เนื้อทองคำจำนวน 1 องค์ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงผนวชลอยองค์เนื้อทองคำจำนวน 1 องค์ เนื้อเงิน จำนวน 1 องค์ และพระบรมรูปทรงงาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงาน เนื้อสำริด จำนวน 13 องค์ พร้อมทั้งรับพระราชทานพระบรมราโชวาท เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติงานถวายในโอกาสต่อไป
เดินตามรอยพ่อ
นิตยสาร National geographic ประจำเดือนตุลาคม ค.ศ.1982 ได้เทิดทูนในหลวง โดยลงบทความเรื่อง Thailand’s Working Royalty หมายถึง “พระราชกรณียกิจใหญ่หลวงนัก” ท้ายสุดได้อัญเชิญพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เรื่อง “เดินตามรอยเท้าพ่อ” โดยถ่ายทอด เป็นภาษาอังกฤษ
แสดงถึงพระวิริยะอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการประกอบพระราชณียกิจ ซึ่งคนไทยทุกคน ควรที่จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้
The Footstep of My Father
“ Through the dark jungle, very dense,
Which stretches out interminably , somber and immense…
I follow without stopping the footstep of my Father.
Oh Father, I am dying of hunger and I am tired.
Look! The blood is running from my two wounded feet…
Father! Will we arrive at our destination?
-Child!… On the earth there exists no place
Full of pleasure and comfort for you.
Our road is not covered with pretty flowers.
Go! Always,even if it breaks your heart.
I see the thornes prick your tender skin.
Your blood: rubies on the grass, near the water.
On the green shruberry, your tears dropped.
Diamonds on emerald, show their beauty.
For all the human race does not lose its courage
In the face of pain. Be tenacious and wise.
And be happy to have and ideal so dear.
Go! If you want to walk in the Footstep of your Father.”
เดินตามรอยเท้าพ่อ
“ ฉันเดินตามรอยเท้าอันรวดเร็วของพ่อโดยไม่หยุด
ผ่านเข้าไปในป่าใหญ่ น่ากลัว ทึบ
แผ่ไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด มืดและกว้าง
มีต้นไม้ใหญ่เหมือนหอคอยที่เข้มแข็ง
พ่อจ๋า… ลูกหิวจะตายอยู่แล้วและเหนื่อยด้วย
ดูซิจ๊ะ… เลือดไหลออกมาจากเท้าทั้งสองที่บาดเจ็บของลูก
ลูกกลัวงู เสือ และหมาป่า
พ่อจ๋า… เราจะถึงจุดหมายปลายทางไหม?
ลูกเอ๋ย… ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนดอกที่มีความรื่นรมย์
และความสบายสำหรับเจ้า
ทางของเรามิได้ปูด้วยดอกไม้สวยสวย
จงไปเถิด แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่บีบคั้นหัวใจเจ้า
พ่อเห็นแล้วว่า หนามตำเนื้ออ่อนอ่อนของเจ้า
เลือดของเจ้า เปรียบดั่งทับทิมบนใบหญ้าใกล้น้ำ
น้ำตาของเจ้าที่ไหลต้องพุ่มไม้สีเขียว
เปรียบดั่งเพชรบนมรกตที่แสดงความงดงามเต็มที่
เพื่อมนุษยชาติ จงอย่าละความกล้า
เมื่อเผชิญกับความทุกข์ให้อดทนและสุขุม
และจงมีความสุขที่ได้ยึดอุดมการณ์ที่มีค่า
ไปเถิด… ถ้าเจ้าต้องการเดินตามรอยเท้าพ่อ”
ที่มา : จากเมล์ที่ forward ต่อ ๆ กันมา เลยอยากให้ทุกคนได้อ่านกันคะ.
*ขอขอบคุณ ไชยวรมันต์
ใต้ร่มพระบารมี
วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556
พระมหากษัตริย์ กับการปกครองระบอบประชาธิปไตย
วัฒนธรรมไทยเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย หากจะขยายความคำว่าเอกลักษณ์ของชาติคือ ลักษณะของสิ่งทั้งหลาย หรือพฤติกรรมทั้งมวลในชาติ ซึ่งเป็นที่ยอมรับฝังลึกอยู่ในกระบวนการชีวิตและจิตใจของคนไทย โดยมีวัฒนธรรมประจำชาติเป็นสิ่งพื้นฐาน เอกลักษณ์จึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากวัฒนธรรม
เอกลักษณ์ของชาติมีองค์หลักคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ที่กล่าวถึงกฎเกณฑ์ในการปกครองประเทศ กลไกในการปกครอง ตลอดจนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย และมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยเหตุผลที่ว่า
1. พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่มาแห่งเกียรติศักดิ์ เพราะทรงมีพระราชตระกูลสูง ย่อมทำให้เกิดความไว้วางใจและศรัทธาต่อพระองค์ สมคำกล่าวที่ว่า “พระราชาเป็นสง่าแห่งแว่นแคว้น”
2. เหตุที่ทรงรับตำแหน่ง เพราะสืบราชสันตติวงศ์ ไม่ใช่เพราะคะแนนเสียงจากผู้ใด จึงทำให้ทรงเป็นกลางทางการเมืองได้อย่างแท้จริง มีผลให้ทรงประสานผลประโยชน์ของชาติลุล่วงได้ด้วยดี
3. เพราะทรงเป็นประมุขของประเทศอย่างถาวร ทำให้ทรงมีโอกาสสะสมประสบการณ์ มีพระปรีชาสามารถ เข้าพระราชหฤทัยถึงปัญหาของการบริหารราชการ
4. ทรงเป็นศูนย์รวมแห่งความเป็นชาติและความสามัคคีของคนในชาติ ในขณะที่นักการเมืองอื่นไม่สามารถทำได้ เพราะเมื่อมีการเมืองเข้าเกี่ยวข้องก็อาจเกิดความขัดแย้งกันได้
โดย มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งกำหนดพระราชอำนาจที่จำกัดภายใต้รัฐธรรมนูญของประเทศไทย พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องทรงมีพระราชกรณียกิจมากมายที่มิได้กำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของภาระหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
ถึงกระนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับทรงนิยามพระราชกรณียกิจของพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ไทยคือ การบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรทุกหมู่เหล่าในแผ่นดินไทย พระองค์ทรงเลือกที่จะเป็นพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพสกนิกรของพระองค์ตลอดเวลา
จะเห็นได้ว่า คนไทยกับพระมหากษัตริย์นั้นคู่กันมาตั้งแต่เป็นชาติไทยแล้ว ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ จึงได้ดำรงสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้แต่ให้ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ดังพระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 มาตรา 3 บัญญัติว่า “มาตรา 3 กษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ พระราชบัญญัติก็ดี คำวินิจฉัยของศาลก็ดี การอื่นๆ ซึ่งจะมีบทกฎหมายระบุไว้โดยเฉพาะก็ดี จะต้องกระทำในนามกษัตริย์”
เมื่อรัฐธรรมนูญตกลงในหลักการที่จะให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของชาติแล้ว ก็จำเป็นต้องถวายความเคารพยกย่องพระราชฐานะ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2535 จึงบัญญัติว่า “มาตรา 6 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และกำหนดโดยปริยายว่า พระมหากษัตริย์จะต้องทรงอยู่เหนือการเมือง กล่าวคือ ต้องทรงวางพระองค์เป็นกลาง ไม่เข้ากับพรรคการเมืองใด การปรึกษาราชการแผ่นดินต้องทรงกระทำกับคณะรัฐมนตรีหรือคณะองคมนตรีเท่านั้น และจะต้องทรงปลีกพระองค์จากปัญหาข้อขัดแย้งทางการเมือง คือไม่ทรงวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ทางการเมืองในที่สาธารณะ ในทางกลับกัน ย่อมถือเป็นมารยาททางการเมืองว่านักการ เมืองจะไม่อ้างถึงพระมหากษัตริย์ว่าทรงพระกรุณาแก่ตนเป็นพิเศษอย่างใดรวม ทั้งไม่นำพระราชกระแสพระราชดำริทางการเมืองออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยเด็ดขาด
พระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยด้านนิติบัญญัติทางรัฐสภา ดังรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2535 บัญญัติว่า “มาตรา 93 ร่างบัญญัติที่ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัตินั้นจากรัฐสภา เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้”
อย่างไรก็ตาม พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจที่จะยับยั้งร่างพระราชบัญญัติใดที่ไม่ทรงเห็นชอบด้วย ด้วยการพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือทรงเก็บร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ ในกรณีที่พระราชทานร่างพระราชบัญญัติคืนมา หรือพ้น 90 วันแล้วยังไม่ได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ ถ้ารัฐสภาลงมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยว่าสองในสามของจำนวน สมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องนำร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีกครั้งหนึ่ง หากไม่ลงพระปรมาภิไธยพระราชทานคืนภายใน 30 วัน ให้นายกรัฐมนตรีต้องนำร่างพระราชบัญญัตินั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้ บังคับเป็นกฎหมายได้ เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว (มาตรา 98)
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยยังคงมีพระราชอำนาจที่จะพระราชทานพระราชดำริเป็นการเตือนสติแก่รัฐสภา รัฐสภาต้องพิจารณาทบทวนร่างกฎหมายนั้นเป็นกรณีพิเศษ ใช้คะแนนเสียงข้างมาก และอำนาจในการชี้ขาดขั้นสุดท้ายก็เป็นของรัฐสภา ซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวทรงปฏิบัติพระองค์ตามทศพิธราชธรรม จะเห็นได้จากพระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจต่างๆ ทรงปฏิบัติอย่างเที่ยงตรงต่อภาระหน้าที่ เที่ยงตรงต่อเวลา เที่ยงตรงต่อพระราชปณิธานในพระราชหฤทัยที่ทรงมีต่อพสกนิกรโดยมิได้ละเลย และย่อท้อ
โดยเฉพาะทศพิธราชธรรมข้อที่เก้า คือขันติ อดทนต่อทุกสิ่งที่มากระทบต่อพระวรกาย และพระราชหฤทัย ทรงปฏิบัติพระองค์อยู่ในกรอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศว่า พระองค์ทรงเป็น “ยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์”
ตลอดระยะเวลา 60 ปีแห่งการครองสิริราชสมบัติ ประชาชนชาวไทยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม
**บางส่วนจากหนังสือ เย็นศิระเพราะพระบริบาล ของทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานถุงยังชีพช่วยน้ำท่วมชลบุรี
นายประสงค์ วิทูลกิจจา เลขาธิการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และคณะกรรมการมูลนิธิ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดชลบุรี นำถุงยังชีพพระราชทาน จำนวน 1,000 ชุด ไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบอุทกภัยที่ อ.พนัสนิคม ซึ่งได้รับความเดือดร้อนทั้งสิ้น 28 ตำบล 186 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับผลกระทบ 11,241 ครัวเรือน จากมวลน้ำหลากท่วมพื้นที่การเกษตร บ้านเรือน เส้นทางคมนาคม รวมถึงสิ่งสาธารณประโยชน์เสียหาย ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา
ปัจจุบัน พื้นที่ได้พ้นวิกฤตแล้วส่วนใหญ่ ซึ่งผู้ประสบภัยที่เข้ารับถุงยังชีพพระราชทานต่างทราบซึ้งในพระมหา กรุณาธิคุณที่ทรงห่วงใยความเดือดร้อนราษฎรในฐานะพ่อของแผ่นดินเสมอมา
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556
“ในหลวง” พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก แก่นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย
วันนี้( 11 ต.ค.2556) “ในหลวง”พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก แก่นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย
วานนี้ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทยให้แก่นักกีฬา วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยและเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ให้แก่นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย และเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้สร้างชื่อเสียงแก่ประเทศไทยได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ๒๐๑๓ ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๑๓ – ๒๑ กันยายน ๒๕๕๖ รวมทั้งสิ้น ๑๘ ราย เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นกรณีพิเศษ ดังนี้
นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย
ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)
นางสาววรรณา บัวแก้ว
นางสาวปลื้มจิตร์ ถินขาว
นางสาวอำพร หญ้าผา
นางสาวนุศรา ต้อมคำ
นางสาววิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์
นางสาวอรอุมา สิทธิรักษ์
นางสาวมลิกา กันทอง
นางสาวฐาปไพพรรณ ไชยศรี
นางนางสาวปิยะนุช แป้นน้อย
นางสาวทัดดาว นึกแจ้ง
นางสาวพรพรรณ เกิดปราชญ์
นางสาวอัจฉราพร คงยศ
ผู้ฝึกสอนและผู้ช่วยผู้ฝึกสอน
ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)
จ่าอากาศเอก เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร
นาวาอากาศตรี ณัฐพนธ์ ศรีสมุทรนาค
นายดนัย ศรีวัชราเมธากุล
เจ้าหน้าที่ประจำทีม
ชั้นทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย (ท.ม.)
นายกฤตพล พิทธไชย
ชั้นตริตาภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.)
นายพิสิษฐ์ นัทธี
ชั้นจัตุรถาภรณ์ช้างเผือก (จ.ช.)
นางสาวทิพยรัตน์ แก้วใส
ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย จ.นครราชสีมา
วานนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จากส่วนกลางและประจำ จังหวัดนครราชสีมา นำเครื่องอุปโภคบริโภคไปมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่อำเภอพิมาย, อำเภอชุมพวง และอำเภอโนนแดง รวม 2,000 ครัวเรือน
ซึ่งได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากฝนตกหนัก ส่งผลกระทบต่อเขตเทศบาลนครนครราชสีมา และต้องระบายน้ำจากเขื่อนระบายน้ำบ้านคนชุม ที่อยู่เหนือเส้นทางการไหลของน้ำในลำตะคอง ทำให้มวลน้ำจากพื้นที่ต่างๆไหลสะสมรวมกัน จนประสบอุทกภัยในครั้งนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย จ.สระแก้ว-จันทบุรี
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปภัมภ์ ได้มอบให้ นายประสงค์ พิทูรกิจจา เลขาธิการ นายกองเอก วิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ ประธานฝ่ายบรรเทาทุกข์ และคณะจากส่วนกลาง พร้อมด้วยกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ประจำจังหวัดสระแก้ว เดินทางไปมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัย ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองสระแก้ว จำนวน 1,000 ครัวเรือน
จากนั้น เวลา 14.00 น. คณะมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปภัมภ์ พร้อมด้วยกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ประจำจังหวัดจันทบุรี เดินทางไปมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัย ณ องค์การบริหารส่วนตำบลเทพนิมิตร อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี จำนวน 400 ครัวเรือน และเวลา 16.30 น. เดินทางไปมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัย ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอนายายอาม จำนวน 600 ครัวเรือน รวมทั้งหมด 2,000 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าสิ่งของพระราชทานทั้งสิ้น 1,085,420 บาท
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย จ.อยุธยาฯ
10 ต.ค.2556 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย จ.อยุธยาฯ ที่โรงเรียนอิสลามศรีอยุธยามูลนิธิ ตำบลคลองตะเคียน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นผู้แทนพระองค์ นำชุดธารน้ำใจ สภากาชาดไทยพระราชทาน พร้อมน้ำดื่ม ไปมอบแก่ผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่หมู่ 1-13 ของตำบลคลองตะเคียน
ซึ่งขณะนี้อำเภอพระนครศรีอยุธยา มีพื้นที่น้ำท่วม 13 ตำบล 93 หมู่บ้าน มีผู้ประสบอุทกภัยกว่า 38,000 คน และระดับน้ำยังทรงตัว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)