วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ ฯ แห่งทวีปเอเชีย และโอชีเนีย ครั้งที่ 23


21 ต.ค.2556 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดการ ประชุมวิชาการนานาชาติด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาแห่งทวีปเอเชีย และโอชีเนีย ครั้งที่ 23

เวลา 17.12 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์  แอทเซ็นทรัลเวิลด์ ทรงเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาแห่งทวีปเอเชีย และโอชีเนีย ครั้งที่ 23 ซึ่งราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 23 ตุลาคมนี้ เพื่อเสริมสร้างความรู้ระดับสูงด้านวิทยาศาสตร์สูตินรีเวชวิทยา และการผสมเทียม รวมทั้งการดูแลสุขภาพในประชากรหญิงอย่างต่อเนื่องภายใต้หัวข้อ “ความท้าทายในการดูแลสุขภาพของเพศหญิง”

โดยมีการอภิปรายเกี่ยวกับงานวิจัยล่าสุด การศึกษานวัตกรรมและการค้นพบที่เกี่ยวกับสูตินรีเวชวิทยา โดยมีแพทย์พยาบาล คณาจารย์ด้านสูตินรีเวชศาสตร์จาก 53 ประเทศเข้าร่วมประชุมกว่า 1,200 คน

ความสุขของในหลวง



หนึ่งปีที่ผ่านมา……
 
เราใส่เสื้อเหลือง เราใส่สายรัดข้อมือสีเหลือง
 
คนนับแสนไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพียงไม่กี่นาที
 
วันนั้น ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเสื่อมศรัทธาในระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราได้แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งที่คนทั้งชาติยังซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรี และพระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทย
 
…..สิบสองปีที่ผ่านมา……
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจเพราะทรงงานหนักเกินไป
 
ในขณะเดียวกัน สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนักอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่นกัน
 
เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมพระราชชนนีไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดใหญ่ถวาย พระหัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระอุระ และในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งทรงถือม้วนแผนที่กรุงเทพฯ เพราะน้ำกำลังท่วมกรุงอยู่
 
ยังจำกันได้ไหม ? ….. 34 ปีที่ผ่านมา…..
 
วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิดวิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด
 
วันนั้น นิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดินขบวนประท้วงรัฐบาล เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น ตำรวจทหารยิงประชาชน ในขณะที่นิสิตนักศึกษาก็เผาสถานที่ราชการ เกิดกลียุคทุกหย่อมหญ้า คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันเอง
 
คืนนั้น สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวนจิตรลดา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคนว่า “คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับพลัน”
 
และทุกอย่างก็สงบโดยฉับพลัน
 
หลังจากนั้นไม่นาน มีฝรั่งคนหนึ่งมาถามผมว่า “ เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้งประเทศได้อย่างนั้น ?”
 
ผมไม่ได้ตอบ แต่ตอนนั้นใจผมคิดถึงประโยคที่ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่า พระองค์ทรงเป็น “SOUL OF THE NATION” หรือ “จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ”
 
ยังจำกันได้ ไหม ?
 
เราสร้างค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุด
 
เราโกงทุกครั้งที่มีโอกาส
 
เรากำลังฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้ เราสร้าง “ กฎหมู่” ให้เหนือ “ กฎหมาย”
 
และทั้งโลกกำลังจับตามองเราอยู่
เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา
จะทรงเสียพระทัยเพียงใด ?
 
80 ชันษาของพระองค์ท่าน หากเปรียบกับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ ได้รับการดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก หรือกระทบกระเทือนใจแต่อย่างใด
 
แต่กลับเป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษาของพระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวายการดูแลของคณะแพทย์
 
พระองค์ต้องรับทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ
 
ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังใหญ่โตสวยงาม แห่ล้อมด้วยข้าราชบริพาร
 
หากแต่ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ เมื่อประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคีกัน รู้จักความพอเพียง และมีสติ- เพียงเท่านี้เอง
 

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายธวัชชัย ทวีศรี พร้อมคณะเฝ้าฯ


  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายธวัชชัย ทวีศรี ประธานผู้ริเริ่มโครงการจัดสร้างเหรียญที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวชพลังแผ่นดินและพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช พร้อมคณะเฝ้าฯ        
  วันพุธ ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๗.๒๐ น.  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายธวัชชัย ทวีศรี ประธานผู้ริเริ่มโครงการจัดสร้างเหรียญที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวชพลังแผ่นดินและพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช พร้อมด้วยผู้ให้การสนับสนุนโครงการ ฯ เฝ้า ฯ ทูลเกล้า ฯ ถวายเงินซึ่งเป็นรายได้จากการจัดการโครงการ ฯ เพื่อสมทบทุนจัดสร้างสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราชโรงพยาบาลศิริราช
  การนี้ นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานมูลนิธิคิงเพาเวอร์ และประธานกรรมการกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ น้อมเกล้า ฯ ถวายพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงาน และพระบรมรูปทรงผนวช

“ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์” พระราชทานถุงยังชีพช่วยเหลือราษฎรน้ำท่วม อยุธยาฯ-อ่างทอง


  17 ต.ค.2556 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระราชทานความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัยที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง โดยโปรดให้ พลเอกชาญ บญประเสริฐ ผู้ช่วยประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ฝ่ายกิจกรรมพิเศษ และคณะ มอบถุงยังชีพพระราชทานแก่ผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 300 ชุด ณ ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 ตำบลบางพลี อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้วยทรงตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์น้ำท่วมในเขตพื้นที่อำเภอบางไทร จนทำให้ได้รับความเดือดร้อน 122 ตำบล 786 หมู่บ้าน 53,384 ครัวเรือน
  จากนั้น ได้นำถุงยังชีพพระราชทานไปถวายพระภิกษุสงฆ์ 6 รูป และมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย รวม 300 ชุด ณ วัดเสาธงทอง ตำบลจำปาหล่อ อำเภอเมืองจังหวัดอ่างทอง มีราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งหมด 1 พัน 625 ครัวเรือน ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย 18,942 ไร่  ด้านปศุสัตว์ได้รับผลกระทบ เช่น นกกระทา รวมถึงด้านประมง ได้แก่ บ่อเลี้ยงกบ และปลาในกระชัง  ปัจจุบันสถานการณ์อุทกภัยเริ่มมีแนวโน้มลดลงจนใกล้เข้าสู่ภาวะของการฟื้นฟูบูรณะ

“พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ” พระราชทานถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย จ.บุรีรัมย์


17 ต.ค.2556 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระราชทานความช่วยเหลือแก่ ผู้ประสบอุทกภัยที่จังหวัด บุรีรัมย์
  วานนี้ที่ว่าการอำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ นายอภัย จันทนจุลกะ รองประธานมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง ภาฯ ยามยาก สภากาชาดไทย เป็นผู้ปฏิบัติงานแทนพระองค์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พร้อมคณะมอบถุงยังชีพของมูลนิธิฯ จำนวน 2,080 ถุง สำหรับช่วยเหลือพระภิกษุสงฆ์ ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ประสบอุทกภัย
  โดยมีพื้นที่ประสบภัย 22 อำเภอ 120 ตำบล 1,051 หมู่บ้าน ส่วนที่อำเภอแคนดง มีพื้นที่ประสบภัย 4 ตำบล 39 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 2,716 คน

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ..สนองพระราชดำริมอบเอกสารสิทธิ “สทก.” ให้ราษฎร


  นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี เดินทางไปเป็นประธานในพิธีมอบเอกสารสิทธิที่ทำกินในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ (สทก.) และร่วมโครงการปลูกต้นไม้
  เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 81 พรรษา 12 สิงหาคม 2556 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา ณ โครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี
  โดยมีนายกาศพล แก้วประพาฬ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายบุญชอบ สุทธมนัสวงศ์ อธิบดีกรมป่าไม้ นายโกวิทย์ เพ่งวาณิชย์ รองเลขาธิการ กปร. นายวุฒิกร สุขีนัย นายอำเภอหนองปรือ หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนผู้มารับ สทก.ให้การต้อนรับ
  โครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดกาญจนบุรี ได้ดำเนินงานสนองพระราชดำริ
  โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานร่วมกันเพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรควบคู่ไปกับ  การพัฒนา และฟื้นฟูสภาพป่าที่ถูกบุกรุกทำลายจนมีสภาพเสื่อมโทรม
  โดยกรมป่าไม้ได้อนุญาต ใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เขาฤาษี-เขาบ่อแร่ แปลงที่ 2 จำนวน 20,625 ไร่ ตั้งแต่ปี 2534 – 2554  ซึ่งการดำเนินงานที่ผ่านมา ได้มีการฟื้นฟูพื้นที่ป่า พัฒนาแหล่งน้ำ สาธารณูปโภคพื้นฐาน พัฒนาคุณภาพชีวิต
  และจัดที่อยู่อาศัยให้แก่ราษฎรครอบครัวละ 1 ไร่ จำนวน 780 แปลงและแปลงที่ดินทำกิน ครอบครัวละ 8 ไร่และครอบครัวใหญ่ 16 ไร่ รวม 907 แปลง
  เพื่อสร้างความมั่นคงในที่ทำกินให้กับราษฎรในพื้นที่โครงการห้วยองคตฯ สำนักงาน กปร. กรมป่าไม้ และจังหวัดกาญจนบุรี ได้ร่วมกันดำเนินการออกเอกสารสิทธิทำกินในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ (สทก.) ให้แก่ราษฎรดังกล่าว
  โดยครั้งแรก ดำเนินการมอบ สทก.แล้วจำนวน 627 แปลง เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2555
  และครั้งที่ 2 ได้ดำเนินการมอบ สทก. ให้ราษฎรอีก จำนวน 578 แปลง เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556  ภายหลังการมอบ สทก. ให้กับประชาชนเป็นผู้มีสิทธิ์แล้ว องคมนตรีได้ร่วมปลูกป่ากับส่วนราชการและประชาชนอีกด้วย.

เราหลงลืมอะไรไปหรือเปล่า


  ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้เปิดเผยถึง สิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงคนไทยมากที่สุดและสิ่งที่ทรงขอจากคนไทยว่า
  “สิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงคนไทยเห็นจะเป็นเรื่อง จิตสำนึกที่มีต่อแผ่นดินนี้  ส่วนเรื่องที่พระเจ้าอยู่หัวทรงปรารถนามากที่สุดและทรงรับสั่งขอไว้ คือ อยากจะเห็นคนไทยมีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องทำ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยความเข้าใจ ด้วยสติและปัญญา โดยมีความรักความเมตตาเป็นองค์ประกอบสำคัญ รวมถึงมีความสมัครสมานสามัคคี ในการรักษาหรือดำเนินการภารกิจใดๆ ผมคิดว่าถ้าคนไทยถวายพระพรด้วยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ตามที่พระองค์ได้ทรงขอมา จะเป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์ท่านชื่นพระทัยที่สุด เพราะแผ่นดินนี้คงจะมีความสุขสงบตลอดไป”
  พลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ กล่าวถึงปัญหาพฤติกรรมลบหลู่ จาบจ้วง ล่วงเกินอย่างหยาบคาย ที่ทำต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า
  “ถึงเวลาแล้วที่เราไม่ควรเลี่ยง เพราะไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป อุดมคติเกี่ยวกับการเมืองของคนในโลกนี้ไม่เหมือนกัน ความต้องการผิดแผกแตกต่างกันได้ ซึ่งเป็นธรรมดาที่คนในบ้านในเมืองต้องการการปกครองที่แตกต่างกัน ซึ่งเมืองไทยกำลังเผชิญปัญหานี้ มีคนไม่ต้องการพระมหากษัตริย์ ลุกขึ้นปลุกปั่น ตั้งเป็นขบวนการ เผยแพร่ข้อความชักจูงคนให้เห็นด้วย”
  พลตำรวจเอกวสิษฐ กล่าวต่อว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสมบัติของท่านทั้งหลายที่ทำให้เราอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ หน้าที่จึงเป็นของทุกคน คือเมื่อรู้แล้วว่า มีพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเป็นห่วงคนไทยทุกเรื่อง แล้วเราจะนั่งเฉยๆ อยู่อีกหรือไม่ หรือจะพูดให้ลูกหลาน เพื่อน คนรอบข้าง ได้เข้าใจ และหากไม่มีใครป้องกันสมบัติชิ้นนี้ก็ให้รู้ไป แต่ผมจะป้องกันของผม”
  เราหลงลืมอะไรไปหรือเปล่า… เราลืมไปว่า คนไทยโชคดีแค่ไหนที่มีพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงรักคนไทยมากที่สุด…
  หากเรารักในหลวง เราควรทำให้มากกว่าคิด ทำให้มากกว่าพูด ทำให้มากกว่ารู้สึก มาร่วมกันทำดี ตราบจนลมหายใจสุดท้ายที่จะรดลงบนผืนแผ่นดินนี้.

ที่มา : ส่วนหนึ่งจากคอลัมน์ศิลาในน้ำเชี่ยว

“ในหลวง” พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท


17 ต.ค.2556 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
  เวลา 17.13 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมวโรกาสให้ นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี พร้อมคณะกรรมการและผู้บริหารบริษัท เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานแผ่นจารึกที่ทรงเจิม สำหรับเชิญไปประดิษฐานที่บริเวณโถงอาคารเอสซีจี 100 ปี บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน เพื่อทรงใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย ในการนี้ มีพระราชดำรัสกับคณะผู้มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
  ” ความยินดีนี้ให้แก่ เจ้าหน้าที่ทุกคนโดยที่ไม่ได้ ผู้ที่ไม่ได้มา ไม่ได้ในวันนี้ และขอบใจที่ทุกคนพยายามที่จะปฏิบัติให้บริษัทเจริญรุ่งเรืองต่อไป ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ขอแสดงความยินดีแก่ทุกๆ ท่าน “
  จากนั้น พระราชทานพระบรมวโรกาสให้ นายธวัชชัย ทวีศรี ประธานผู้ริเริ่มโครงการจัดสร้างเหรียญที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวชพลังแผ่นดิน และพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช พร้อมผู้ให้การสนับสนุนโครงการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน ซึ่งเป็นรายได้จากโครงการเพื่อสมทบทุนจัดสร้างสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช โรงพยาบาลศิริราช
  โอกาสนี้ นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานมูลนิธิ คิง เพาเวอร์ และประธานกรรมการกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงผนวช เนื้อทองคำจำนวน 1 องค์ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงผนวชลอยองค์เนื้อทองคำจำนวน 1 องค์ เนื้อเงิน จำนวน 1 องค์ และพระบรมรูปทรงงาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงาน เนื้อสำริด จำนวน 13 องค์ พร้อมทั้งรับพระราชทานพระบรมราโชวาท เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติงานถวายในโอกาสต่อไป

เดินตามรอยพ่อ


“เดินตามรอยพ่อ”พระราชนิพนธ์ของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ..ประทับใจทุกครั้งที่ได้อ่าน
นิตยสาร National geographic ประจำเดือนตุลาคม ค.ศ.1982 ได้เทิดทูนในหลวง โดยลงบทความเรื่อง Thailand’s Working Royalty หมายถึง “พระราชกรณียกิจใหญ่หลวงนัก” ท้ายสุดได้อัญเชิญพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เรื่อง “เดินตามรอยเท้าพ่อ” โดยถ่ายทอด เป็นภาษาอังกฤษ
แสดงถึงพระวิริยะอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ในการประกอบพระราชณียกิจ ซึ่งคนไทยทุกคน ควรที่จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้


The Footstep of My Father
“ Through the dark jungle, very dense,
Which stretches out interminably , somber and immense…
I follow without stopping the footstep of my Father.
Oh Father, I am dying of hunger and I am tired.
Look! The blood is running from my two wounded feet…
Father! Will we arrive at our destination?
-Child!… On the earth there exists no place
Full of pleasure and comfort for you.
Our road is not covered with pretty flowers.
Go! Always,even if it breaks your heart.
I see the thornes prick your tender skin.
Your blood: rubies on the grass, near the water.
On the green shruberry, your tears dropped.
Diamonds on emerald, show their beauty.
For all the human race does not lose its courage
In the face of pain. Be tenacious and wise.
And be happy to have and ideal so dear.
Go! If you want to walk in the Footstep of your Father.”


เดินตามรอยเท้าพ่อ
“ ฉันเดินตามรอยเท้าอันรวดเร็วของพ่อโดยไม่หยุด
ผ่านเข้าไปในป่าใหญ่ น่ากลัว ทึบ
แผ่ไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด มืดและกว้าง
มีต้นไม้ใหญ่เหมือนหอคอยที่เข้มแข็ง
พ่อจ๋า… ลูกหิวจะตายอยู่แล้วและเหนื่อยด้วย
ดูซิจ๊ะ… เลือดไหลออกมาจากเท้าทั้งสองที่บาดเจ็บของลูก
ลูกกลัวงู เสือ และหมาป่า
พ่อจ๋า… เราจะถึงจุดหมายปลายทางไหม?
ลูกเอ๋ย… ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนดอกที่มีความรื่นรมย์
และความสบายสำหรับเจ้า
ทางของเรามิได้ปูด้วยดอกไม้สวยสวย
จงไปเถิด แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่บีบคั้นหัวใจเจ้า
พ่อเห็นแล้วว่า หนามตำเนื้ออ่อนอ่อนของเจ้า
เลือดของเจ้า เปรียบดั่งทับทิมบนใบหญ้าใกล้น้ำ
น้ำตาของเจ้าที่ไหลต้องพุ่มไม้สีเขียว
เปรียบดั่งเพชรบนมรกตที่แสดงความงดงามเต็มที่
เพื่อมนุษยชาติ จงอย่าละความกล้า
เมื่อเผชิญกับความทุกข์ให้อดทนและสุขุม
และจงมีความสุขที่ได้ยึดอุดมการณ์ที่มีค่า
ไปเถิด… ถ้าเจ้าต้องการเดินตามรอยเท้าพ่อ”

ที่มา : จากเมล์ที่ forward ต่อ ๆ กันมา เลยอยากให้ทุกคนได้อ่านกันคะ.

*ขอขอบคุณ ไชยวรมันต์

ใต้ร่มพระบารมี


ไม่มีพื้นแผ่นดินใดในประเทศไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยือนดูแลทุกข์สุขพสกนิกรของพระองค์ท่านเสด็จฯไปทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะลำบากยากเย็นสักเพียงไรก็ตาม

  ระหว่างเดือนกันยายนถึงยังตุลาคมของทุกปี แม้อากาศทั่วประเทศไทยจะเริ่มเย็นลงเพราะย่างเข้าสู่ฤดูหนาว แต่ทว่าหัวใจของพสกนิกรที่อาศัยจังหวัดทางภาคใต้กลับอบอุ่นอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะนั่นคือช่วงระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ด้วยมีพระราชประสงค์ที่จะทรงเยี่ยมเยือนพสกนิกรทุกหมู่เหล่าของพระองค์อย่างใกล้ชิดและจะได้ทรงทราบถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกรเหล่านั้น เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงหาทางช่วยเหลือเพื่อให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนภาคใต้ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2502 โดยทรงเริ่มจากจังหวัดชุมพรไปจนถึง นราธิวาสจังหวัดใต้สุดที่ติดชายแดนมาเลเซีย รวมเวลาทั้งสิ้น 22 วัน โดยทรงประกอบพระราชกรณียกิจและทรงเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่างๆมากมาย

  สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เสด็จเยือนปัตตานีเป็นจังหวัดแรก ตามด้วยยะลา และนราธิวาส การเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนั้นมีพสกนิกรทั้งชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมหลั่งไหลมาเฝ้าแหนเพื่อคอยรับเสด็จอย่าง  “มืดฟ้า มัวดิน”  

  ทุกคนที่เดินทางมารับเสด็จต่างมิได้ย่อท้อต่อระยะทางไกลจากภูมิลำเนาของตนแต่อย่างไรเลย ประวัติศาสตร์ในครั้งนั้นได้จารึกไว้ว่า ผู้คนที่มาเฝ้ารอนั้นมีจำนวนมากมายจนกระทั่งบางคนถึงกับต้องลงไปยืนแช่น้ำในชายฝั่งทะเลสาบสงขลาเพราะทุกพื้นที่ต่างถูกจับจองเต็มไปหมด พสกนิกรต่างเดินทางมารับเสด็จเพื่อถวายความจงรักภักดีและชื่นชมพระบารมีอย่างล้นหลาม

  การเสด็จฯเยือนภาคใต้ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เหล่าพสกนิกรได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดโดยไม่ได้ทรงถือพระองค์ และเขาเหล่านั้นก็ได้แสดงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามแบบวัฒนธรรมของตน เช่น บางคนปูผ้าเช็ดหน้าเพื่อให้พระองค์ท่านทรงพระราชดำเนินประทับรอยพระบาท

  จากนั้นนำรอยพระบาทไปเก็บไว้เพื่อเป็นสิริมงคล บางคนขอพระราชทานพระหัตถ์ของพระองค์ท่านขึ้นทูนเหนือศรีษะ เพื่อความเป็นสิริมงคลอันสูงสุดเช่นกัน ส่วนชาวไทยมุสลิมได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจูบพระหัตถ์อันเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด

  ที่จังหวัดนราธิวาสชาวไทยมุสลิมได้เชิญเสด็จเข้าประทับในสุเหร่า ทั้งๆที่ตามประเพณีทางศาสนาอิสลามจะไม่อนุญาตให้คนต่างศาสนาเข้าไปในศาสนสถานของตน 

  บางจังหวัดราษฎรได้นำสิ่งของที่มีค่าประจำตะกูลมาทูลเกล้าฯถวาย เช่น ดาบ พระพุทธรูปเก่าแก่ ซึ่งไม่ว่าราษฎรจะปฎิบัติต่อพระองค์ท่านเช่นไร พระองค์ท่านก็มิได้ทรงถือพระองค์แต่อย่างไรเลย  ยังความปิติและเป็นขวัญกำลังใจต่อราษฏรอย่างล้นพ้น

  หลังจากเสด็จฯเยือนภาคใต้เป็นครั้งที่ 2  ในเวลาต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์แทบทุกปี โดยนำมาซึ่งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากมายนับเป็นร้อยโครงการ อาทิ ด้านการเกษตร การชลประทาน การฟื้นฟูดินเปรี้ยว คมนาคม สาธารณสุข การศึกษา และด้านอื่นๆ ด้วยน้ำพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นในการพระราชทานแนวทางการแก้ไขปัญหาและการพัฒนานี้ส่งผลให้พสกนิกรของพระองค์ท่านมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

  ดังจะขอยกตัวอย่างส่วนหนึ่งด้วยเรื่องเล่าจากความซาบซึ้งในน้ำพระราชหฤทัย ดังนี้

จันทร์ ชาญแก้ : เกษตรกร

บรรพบุรุษรุ่นแล้วรุ่นเล่าของจันทร์ ชาญแก้ ล้วนทำหน้าที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติมาโดยตลอด จึงไม่น่าจะเป็นคำกล่าวที่เกินไปนัก หากจะบอกว่าภายในกายของเขามีสายเลือดความเป็นเกษตรกรอยู่อย่างเข้มข้นในทุกอณู

  “ผมเป็นเกษตรกรอยู่ในหมู่บ้านโคกอิฐ-โคกใน จังหวัดนราธิวาส ครับ ผมมีที่ดินทั้งหมด 11 ไร่  ที่ใช้ทำนาทำสวนกันมาหลายชั่วคน ในบริเวณนี้มีปัญหาดินเปรี้ยวเช่นเดียวกับหมุ่บ้านอื่นๆ พื้นที่ส่วนใหญ่มีปัญหามากหน่อยก็ทำนาไม่ได้ผลเลย แต่เราก็ทำกันมาตามมีตามเกิด จนกระทั้งเมื่อปี พ.ศ. 2540 เจ้าหน้าที่ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือโดยการขุดยกร่องสวน รวมถึงแจกหินปูนฝุ่นเพื่อมาโรยปรับปรุงดิน จากนั้นดินก็มีคุณภาพดีขึ้น แล้วเจ้าหน้าที่ เขาก็ให้พันธุ์ไม้อย่างกระท้อน เงาะ มะนาว  ส้มโอ มะพร้าวมาปลูก ประมาณ 3  ปีต่อมาผมก็มีผลผลิตมากพอที่จะนำไปขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว”

  ยากจะอธิบายได้ว่าเกษตรกรนักสู้คนนี้มีมีความรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างไรต่อพระเมตตาปราณีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงริเริ่มโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทำให้เขามีชีวิตที่เป็นสุขได้ในทุกวันนี้ แต่จันทร์บอกกับเราว่าเป็นเรื่องยากมากกว่านั้นหากจะให้เขากล่าวถึงความในใจเมื่อครั้งได้เข้าเฝ้าฯพระองค์ท่านโดยบังเอิญเมื่อปี พ.ศ. 2517

  “ตอนนั้นผมอายุประมาณ 20 ปี กำลังดำนาอยู่ในแปลงข้างถนนแล้วเห็นขบวนรถแล่นมาจอด ผมจึงขึ้นจากนาไปดูใกล้ๆ ก็เห็นในหลวงทรงเปิดประตูรถแลนด์โรเวอร์พระที่นั่งลงมา แค่เห็นแวบแรกผมก็จำพระองค์ท่านได้ทันที ผมตกใจมาก ผมรีบคุกเข่าลงแล้วก็ประนมมือไหว้ ในครั้งนั้นสมเด็จพระเทพฯก็ตามเสด็จด้วย แต่ยังทรงพระเยาว์อยู่ ตอนนั้นผมนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียว เสื้อก็ไม่ได้ใส่ แต่ในหลวงก็ได้มีพระราชปฎิสันถารกับผมนานประมาณ 1 ชั่วโมงครับ  พระองค์ท่านทรงถามว่าพื้นที่บริเวณนี้มีทั้งหมดกี่ไร่ ผมยังดีใจที่ตอบได้ใกล้เคียงว่าประมาณสองพันไร่”

  “…พอตรัสถามว่าอำเภอนี้มีทั้งหมดกี่โคก ผมก็ไล่ชื่อทั้งหมดให้ฟัง โดยที่พระองค์ท่านทอดพระเนตรแผนที่ตามไปด้วย นอกจากนั้นก็ยังทรงซักถามถึงปัญหาต่างๆของราษฎรด้วย สุดท้ายพระองค์ท่านทรงชี้ไปยังทางที่ทุรกันดารว่า  รถจะสามารถแล่นผ่านไปได้ไหม ผมก็กราบบังคมทูลไปตามตรงว่าไม่ได้  เพราะไม่มีถนน

  ก่อนเสด็จฯกลับพระองค์ท่านจึงตรัสว่า  อีกหนึ่งสัปดาห์จะเสด็จฯ ไปทางนั้นให้ได้ เพื่อสำรวจแหล่งน้ำและตรวจดูว่ามีชาวบ้านอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นมากน้อยแค่ไหน  วันต่อมาผมก็เห็นรถแทรกเตอร์และรถขนดินเข้ามาทำถนนจนเสร็จภายใน 3 วัน จากนั้นในหลวงก็เสด็จฯไปเยี่ยมประชาชนจนได้”

  เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้จันทร์รู้ซึ้งถึงพระวิริยะอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง เพราะทรงมีประโยชน์สุขของพสกนิกรเป็นที่ตั้ง

  “หลังจากที่พระองค์ท่านเสด็จฯมาครั้งนั้น  ในภาคใต้ก็เริ่มมีการพัฒนาต่างๆ ตามมามากมาย เพราะเมื่อทรงพบว่าราษฎรมีปัญหาอะไรก็จะทรงช่วยคิดหาทางแก้ไข แล้วในปีต่อๆมาก็เสด็จฯ มาเยี่ยมเยียนพวกเราเป็นประจำ

  บางครั้งพระองค์ท่านทรงลุยป่าลุยน้ำลุยคลองเข้าไปในพื้นที่ที่ยากลำบาก ผมเห็นแล้วก็รู้สึกว่าคนไทยมีบุญมากที่มีในหลวง  เวลาที่พระองค์ท่านเสด็จฯมา  ผมจะไปเฝ้าฯรับเสด็จทุกครั้ง ปีที่แล้วผมก็ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเทพฯ  เพราะเมื่อผมเป็นเกษตรกรในโครงการของศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ก็ทำให้ได้ผลผลิตงดงามมาก พระองค์จึงเสด็จฯไปทอดพระเนตรสวนของผม

“…สมเด็จพระเทพฯรับสั่งถามเรื่องการเกษตรและเรื่องน้ำเป็นหลัก พระองค์ทรงจำผมได้ เพราะผมเข้าเฝ้าฯบ่อย และตอนที่ได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นประจำปี พ.ศ.2547 และ พ.ศ. 2551 ผมก็ไปรับพระราชทานจากพระองค์ พระองค์ทรงเป็นกันเองมาก ไม่ทรงถือพระองค์ครับ อย่างตอนที่มีคนเรียกผมว่า “ลุงจันทร์” พระองค์ก็ตรัสว่า “อย่างนี้ไม่น่าจะเรียกว่าลุงจันทร์นะ น่าจะเรียกว่าพี่จันทร์มากกว่า”  (หัวเราะ)  ทรงเป็นเจ้านายที่มีพระอารมณ์ขัน ทำให้เป็นที่รักยิ่งของชาวบ้าน เช่นเดียวกับในหลวงที่ทรงเป็นดั่งศูนย์รวมดวงใจของเราทุกคน”

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงให้อย่างไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดตอบแทน ทุกวันนี้พื้นที่สวนของจันทร์พัฒนาขึ้นจาก 11 ไร่ เป็น 20 ไร่ โดยเขายึดมั่นทำการเกษตรตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“เมื่อก่อนผมไม่มีอะไรเลย ข้าวก็แทบจะไม่พอกิน แต่ตอนนี้ความเป็นอยู่ต่างกันมาก ผักผลไม้ก็มีกิน แล้วผมก็เลี้ยงปลา เลี้ยงหมู เลี้ยงวัวด้วย สมาชิกในครอบครัวของผม 6 คน อยู่กันอย่างสบาย ถ้าไม่มีในหลวงที่ทรงเป็นห่วงเป็นใยประชาชนชีวิตของผมคงไม่ดีขึ้นอย่างนี้ สิ่งที่พระองค์ท่านทรงให้ไม่ใช่ให้แล้วก็จบ แต่เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่ครอบครัวของผมเท่านั้นนะครับ ประชาชนกว่าสองพันคนในแถบนี้ต่างเป็นหนี้บุญคุณพระองค์ท่านอย่างที่ชาตินี้ไม่มีวันใช้ได้หมด หลังจากที่ในหลวงไม่ได้เสด็จฯมาภาคใต้นานแล้วด้วยทรงมีพระอาการประชวร พวกเราทุกคนก็คิดถึงพระองค์ท่านมาก”

ถ้ามีโอกาสได้ไปเยี่ยมในหลวง ผมจะถวายพระพรให้มีพระพลานามัย ที่แข็งแรงและมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน อยู่เป็นพระมิ่งขวัญของพวกเราตลอดไป”

 เพียร สอิ้งทอง : เกษตรกร

จากชายหนุ่มลูกอีสานที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่เมืองปักษ์ใต้ เพียร  สอิ้งทอง หวังว่าเขาจะสามารถสร้างชีวิตที่เปี่ยมสุขได้บนผืนแผ่นดินนี้ แต่ด้วยปัญหานานัปการที่มี ความฝันของเขาคงจะไม่อาจเป็นจริงได้เลยหากปราศจากน้ำพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“เดิมที่ผมเป็นคนจังหวัดศรีสะเกษ แถวนั้นถึงจะปลูกพืชผักได้ง่ายแต่ก็ขายยาก ไม่ค่อยได้กำไร ผมกับภรรยาจึงย้ายเข้ามาทำงานที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ตั่งแต่ปี พ.ศ. 2543 โดยมีอาชีพรับจ้างทั่วไป ตัดไม้บ้าง กรีดยางบ้าง ใครจ้างทำอะไรก็ทำหมด เพราะความรู้ก็ไม่มี ผมจบแค่ชั้น ป. 4   เท่านั้น แม้ไมถึงกับต้องอดมื้อกินมื้อแต่ก็ทำงานหนักมากกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท จนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2549  ภรรยาผมพาลูกไปหาหมอแล้วเผอิญสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จฯมาทรงเยี่ยมราษฎรในวันนั้นพอดี พระองค์ท่านจึงพระราชทานเงินช่วยเหลือมาหนึ่งหมื่นบาท

….จากนั้นก็ทรงพระเมตตาให้ภรรยาของผมไปทำงานทอผ้า ส่วนผมก็ไปฝึกงานแกะสลักไม้ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ทำให้ผมมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนที่แกะสลักไม้ด้วยกัน ว่าอยากจะหาที่ปลูกผักขาย แล้วก็นับเป้นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ในหลวงพระราชทานที่ดินทำกินในโครงการหมู่บ้านปศุสัตว์เกษตรมูโนะ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ให้ผม 3  ไร่ ซึ่งก็ถือเป็นรุ่นที่เข้าไปบุกเบิกเลย สมัยนั้นยังเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาดินเปรี้ยวแต่ผมก็พยายามพัฒนาดินให้ทำการเกษตรได้  ในระหว่างที่ผมกำลังถางหญ้าอยู่ พอดีคุณนรา สุขไชย เจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนพิกุลทองฯ มาพบเข้า เขาเห็นผมเป็นคนขยันเลยส่งเสริม

… ตอนแรกผมก็ปลูกอะไรไม่ได้มาก เพราะดินยังมีความเปรี้ยวอยู่ ผมจึงเริ่มจากพืชล้มลุกพวก ถั่ว แตง มะเขือ โดยทางศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ได้นำหินปูนฝุนและแร่โดโรไมท์มาให้เพื่อช่วยปรับปรุงดิน ทุกวันนี้ปัญหาดินเปรี้ยวก็ยังมีออยู่บ้างแต่ไม่มากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผมพบว่าสิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้มากที่สุดก็คือ หญ้าแฝก เพราะหญ้าแฝก จะอุ้มน้ำช่วยให้ดินร่วนซุย ผมจึงปลูกหญ้าแฝกเป็นแถวในร่องสวน หรือเวลาปลูกมะนาว ผมก็จะปลูกหญ้าแฝกล้อมเป็นวงกลม รวมถึงนำมาปูเป็นพรมบริเวณใต้ต้นด้วย  วิธีการนี้ได้ผลดีมากครับ”

เพียรถือเป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ต่อยอดแนวพระราชดำริไปสู่การเพาะปลูกที่เหมาะสมกับตัวเอง เนื่องจากเขาเป็นคนมานะอดทน และใฝ่เรียนรู้ จากที่เพื่อนบ้านเคยปรามาสว่าการปลูกหญ้าแฝกไม่น่าช่วยอะไร ในวันนี้เขากลับได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นผู้ปลูกและส่งเสริมหญ้าแฝก และเกษตรกรดีเด่นประจำปี พ.ศ.2553 รวมถึงเป็นแบบอย่างของวิถีการเกษตรที่แพร่หลายในจังหวัด

“ทุกวันผมจะตื่นประมาณตีสี่ตีห้ามาทำงาน เหนื่อยเมื่อไรก็พัก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ   ล่าสุดก็เพิ่งทำนาไป 2 ไร่ ช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา ผมไม่ได้ผลกระทบอะไร เพราะการชลประทานเขามาจัดระบบให้ดีขึ้นตามพระราชดำริของในหลวง ที่ผ่านมาเวลาน้ำท่วมผลผลิตของผมจะเสียหายมากกว่านี้ แต่ปีนี้ถือว่าโชคดีมาก นี่ก็ได้ยินมาว่าอาจจะมีน้ำท่วมอีกระลอก แต่ผมก็ไม่หยุด ต้องทำต่อไป เรื่อยๆ อันไหนขายได้ก็ขาย ต้นอะไรล้มตายก็เอาไปทำปุ๋ยหมัก ผมไม่เคยท้อแท้หรอกครับ ดูอย่างในหลวงท่านทรงงานหนักกว่านี้มากก็ยังไม่เคยหยุด  ผมทำเพื่อครอบครัวเดียว แต่พระองค์ท่านทรงทำเพื่อคนไทยทั้งประเทศเชียวนะ

…ตอนนี้ผมมีพื้นที่สวน 6 ไร่ ปลูกพืชเยอะมาก ทั้งมะนาว  ชะอม บัวบก  ผักกาดนกเขา กล้วย มะละกอ  โดยช่วยกันดูแลกับภรรยา และมีลูกๆมาช่วยบ้าง ผมมีลูกทั้งหมด 7 คน โดยมีสองคนไปอยู่กับ ตายายที่อีสาน แต่ผมก็มีรายได้พอเพียงที่จะเลี้ยงพวกเขาทุกคน เมื่อก่อนตอนทำงานรับจ้างผมมีรายได้วันละ 200 บาท แต่เดี๋ยวนี้ขายผลผลิตได้วันละ 800 บาท อย่างมะนาวในสวนก็จะสามารถเก็บขายได้อย่างน้อยวันละ 20 กิโล และจะมีแม่ค้ามารับซื้อถึงที่เลย เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนชีวิตของผมจึงนับว่าดีขึ้นมาก”

จากชีวิตที่เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัว เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกที่มีต่อพระองค์ท่าน ในแววตาของเกษตรกรแห่งบ้านมูโนะจึงเต็มไปด้วยน้ำตาคลอหน่วย

“ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีครับคำถามนี้มีคนถามผมบ่อย และทุกครั้งผมก็อยากจะตอบให้ดีที่สุด แต่พอพูดทีไรน้ำตาก็ไหล (เสียงสั่นเครือ)  เพราะพระองค์ท่านทรงให้ชีวิตใหม่กับผมและครอบครัว ผมอยากให้โครงการในพระราชดำริทั้งหลายคงอยู่ต่อไป เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือคนยากคนจนให้มีอยู่มีกิน ทุกวันนี้ผมมีความรู้อะไรเกี่ยวกับการเกษตรก็พยายามที่จะเผยแพร่แก่ผู้อื่น เพราะในหลวงทรงเป็นตัวอย่างให้เห็น เมื่อทรงให้แก่เราแล้วก็ทำให้เรารู้สึกว่าอยากจะเผื่อแผ่แก่คนอื่นบ้าง ผมจึงบอกไม่ถูกจริงๆ ว่าพระองค์ท่านยิ่งใหญ่แค่ไหนในความรู้สึกของผม”

แม้เพียรจะไม่สามารถอธิบายความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของตนเองได้ แต่น้ำตาที่ไหลจากหัวใจที่ภักดีก็ทำหน้าที่บอกเล่าถึงความรักและเทิดทูนที่เขามีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้อย่างชัดเจน โดยไม่จำเป็นต้องมีถ้อยคำใดๆ มาอธิบาย

ขอบคุณ นิตยสาร ลิปส์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ฯ รัชกาลที่ ๙ พ.ศ. ๒๔๙๙