วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ประทานแจกันดอกไม้เยี่ยม “พระสังฆราช”
เมื่อ 24 ต.ค.56 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ประทานแจกันดอกไม้เยี่ยม “พระสังฆราช”
เวลา 18.00 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงโปรดฯ ให้พล.ต.ปรีชา บุญอำพล ผู้ควบคุมการปฏิบัติราชการวังเทเวศก์ เชิญแจกันดอกไม้ประทานแด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ ชั้น 6 ตึกวชิรญาณ-สามัคคีพยาบาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
สำหรับบรรยากาศในช่วงค่ำที่บริเวณ ชั้น 6 ตึกวชิรญาณ-สามัคคีพยาบาร ด้านหน้าห้องที่ประทับของ สมเด็จพระสังฆราช พุทธศาสนิกชนยังคงเดินทางมาเฝ้าติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิด
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานผ้าไตร บำเพ็ญกุศลครบ 50 วัน
“ในหลวง-พระเทพฯ” พระราชทานผ้าไตรบำเพ็ญกุศลครบ 50 วัน (ปัญญาสมวาร) การละสังขาร ของหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล
เมื่อ 22 ต.ค.2556 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานผ้าไตร บำเพ็ญกุศลครบ 50 วัน (ปัญญาสมวาร) การละสังขาร ของพระมงคลวิสุทธิ์ (หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล) อริยสงฆ์ 5 แผ่นดิน
เมื่อเวลา 10.30 น. นายบุญส่ง เตชะมณีสถิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ประธานในพิธีอัญเชิญผ้าไตรพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 1 ไตร และผ้าไตรพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 1 ไตร ในพิธีบำเพ็ญกุศล 50 วัน (ปัญญาสมวาร) พระมงคลวิสุทธิ์ (หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล) อริยสงฆ์ 5 แผ่นดิน อดีตเจ้าอาวาสวัดสิริสีลสุภาราม ตำบลฉลอง อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต โดยมีพระพรหมเวที เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก เป็นประธานสงฆ์ และแสดงพระธรรมเทศนา ท่ามกลางพระสงฆ์ อุบาสกอุบาสิกา เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก
โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร จุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ที่โต๊ะสักการะ (เครื่องนอก) กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล ประธานสงฆ์ให้ศีล ประธานจุดเครื่องทองน้อย (เครื่องใน) เสร็จแล้วพระพรหมเวที เจ้าคณะหนใหญ่ตะวันออก แสดงพระธรรมเทศนา จากนั้น เป็นพิธีถวายผ้าไตรพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 1 ไตร และผ้าไตรพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 1 ไตร ตามลำดับ พร้อมทั้งประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ แด่พระเดชพระคุณพระพรหมเวที เจ้าคณะหนใหญ่ตะวันออก
หลวง ปู่สุภา กนฺตสีโล ได้ละสังขารอย่างสงบเมื่อเวลา 05.05 น.วันที่ 2 กันยายน 2556 ในกุฏิภายในวัดคอนสวรรค์ ตำบลค้อเขียว อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ภายหลังเข้ารับการรักษาตัวจากอาการอาพาธที่โรงพยาบาลสกลนคร นานกว่า 3 เดือน ด้วยอาการโรคชรา และโรคอื่นๆ อีกหลายโรค คณะศิษยานุศิษย์ได้นำสรีระสังขารตั้งไว้ที่ศาลากลางน้ำ ซึ่งเป็นศาลาขนาดใหญ่ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานน้ำหลวงอาบศพในเวลา 17.00 น. วันที่ 3 กันยายน 2556 และเมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 5 กันยายน 2556 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ อีก 6 พระองค์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพวงมาลา เพื่อถวายสักการะบูชา ศพ ดร.พระมงคลวิสุทธิ์ หรือ หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล อดีตเจ้าอาวาสวัดสีลสุภาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต อีกด้วย
22 ตุลาคม 2499 วันในหลวงทรงผนวช
“วันนี้ในอดีต”
เมื่อ 22 ตุลาคม 2499 เป็นวันพระราชพิธีทรงพระผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง มีสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ทรงได้รับพระสมณฉายาว่า “ภูมิพโล”
พระมหากษัตริย์ที่ทรงพระผนวชขณะทรงดำรงสิริราชสมบัติมี 4 พระองค์ คือ พญาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช …
ข้อมูลจาก สารานุกรมไทย ฉบับกาญจนาภิเษก
เรื่อง “พระราชพิธีทรงพระผนวช พุทธศักราช ๒๔๙๙”
โดย นายทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา
ขอบคุณ
สำนักราชเลขาธิการ
ป้ายกำกับ:
22 ตุลาคม 2499,
ฉายา,
ทรงผนวช,
ในหลวง,
พระราชพิธี,
ภูมิพโล
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดฉะเชิงเทรา
เมื่อ 22 ต.ค.2556 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา สมเด็จ-พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สภานายิกาสภากาชาดไทย พระราชทานชุดธารน้ำใจสภากาชาดไทย พร้อมน้ำดื่มแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตำบลดงน้อย 677 ชุด ตำบลเมืองใหม่ 292 ชุด และตำบลบ้านคา 649 ชุด
นอกจากนี้ เหล่ากาชาดจังหวัดจะนำอีกส่วนไปมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อื่นที่ ได้รับความเดือดร้อน ที่ผ่านมาสภากาชาดไทยได้สั่งการหน่วยเคลื่อนที่เร็ว หรือ RAT TEAM ไปสำรวจพื้นที่อื่นๆ ของจังหวัด เพื่อให้การช่วยเหลือแล้ว
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระราชทานถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดชลบุรี
เมื่อ 22 ต.ค.2556 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระราชทานถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดชลบุรี ที่วัดเกาะลอย อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระราชทาน และประทานถุงยังชีพ 1,000 ถุงแก่ราษฎรในตำบลเกาะลอย, ตำบลบางนาง, ตำบลโคกขี้หนอน, ตำบลหน้าประดู่ และตำบลบางหัก พร้อมจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พระราชทานในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ออกตรวจรักษาผู้เจ็บป่วย โดยอำเภอพานทองเป็นพื้นที่รับน้ำจุดสุดท้ายของจังหวัด ทำให้บ้านเรือนเกิดน้ำท่วมขัง
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระราชทานถุงยังชีพในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เมื่อ 22 ต.ค.2556 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระราชทานถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดอยุธยาฯ ที่ศาลาเอนกประสงค์ ตำบลจำปา อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ประทานถุงยังชีพของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่งภาฯ ยามยาก สภากาชาดไทยแก่ผู้ประสบอุทกภัยโดยถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ และมอบให้แก่ผู้สูงอายุ คนพิการ รวมถึงประชาชน
อำเภอท่าเรือได้รับกระทบจากภาวะฝนตกหนักเหนือเขื่อน ทำให้เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ระบายน้ำลงท้ายเขื่อน ส่งผลให้ประชาชนได้รับผลกระทบเป็นบริเวณกว้างในหลายตำบล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเงินสมทบ กองทุนบำรุงรักษาอาคารมหิดลอดุลยเดช-พระศรีนครินทร
เมื่อ 22 ต.ค.2556 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเงินสมทบ กองทุนบำรุงรักษาอาคารมหิดลอดุลยเดช-พระศรีนครินทร คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นวันพยาบาลแห่งชาติ ในวันนี้ วันที่ 21 ตุลาคม 2556 นายแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการพระราชวัง เป็นประธานในพิธีมอบเงินพระราชทานจากบัญชี “สมเด็จพระศรีฯ โดยสำนักพระราชวัง” เพื่อสมทบ “กองทุนบำรุงรักษาอาคารมหิดลอดุลยเดช-พระศรีนครินทร” แก่รองศาสตราจารย์ ฟองคำ ติลกสกุลชัย คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ณ ศาลาว่าการพระราชวัง ในพระบรมมหา-ราชวัง
โดยก่อนหน้านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเงินที่ประชาชนทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลในโอกาสร่วมถวายสักการะพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อปี 2538 พร้อมผลประโยชน์ เพื่อก่อสร้างอาคารมหิดลอดุลยเดช-พระศรีนครินทร สำหรับเป็นอาคารเรียน, หอพระราชประวัติศรีสวรินทิราราชภักดี และหอพระราชประวัติบรมราชบุพการีกิตติประกาศที่มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา จังหวัดนครปฐม
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556
เรื่องในหลวง ที่เราไม่เคยรู้
เรารักในหลวง
จดหมายฉบับนี้ยาวมากหากรัก ‘พระองค์ท่าน ‘ กรุณาอ่านให้จบด้วย
เรื่องของในหลวงที่เรา (อาจ) ไม่เคยรู้
1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3.พระนาม ‘ภูมิพล‘ ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษาทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า ‘H.H Bhummibol Mahidol’หมายเลขประจำตัว 449
7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า ‘แม่‘
8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทยทรงตั้งชื่อให้ว่า‘บ๊อบบี้ ‘
12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ
13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ทีมากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก ‘การให้ ‘ โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า ‘กระป๋องคนจน ‘ เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก ‘เก็บภาษี ‘ หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า ‘ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน‘
17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก ‘การเล่น ‘ สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์
21.ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)
22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ ‘แสงเทียน ‘ จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง ‘เราสู้‘
26. รู้ไหม…? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯรพ.ภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง ‘นายอินทร์ ‘ และ ‘ติโต ‘ ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ ‘พระมหาชนก‘ ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ‘กีฬาซีเกมส์‘) ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ ‘กังหันชัยพัฒนา ‘ เมื่อปี 2536
32. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ! ปีแล้ว
33. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
34. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
35. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า ‘น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
36. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
37. หลังอภิเษกสมรส ทรง ‘ฮันนีมูน ‘ที่หัวหิน
38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้าพอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับเมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นานค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง
45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้
51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า ‘ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก! บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ’
53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย
56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า ‘นายหลวง ‘ ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า ‘ทำราชการ ‘
68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า ‘อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก ‘
70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6 ล้านคน
74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด
ป้ายกำกับ:
จดหมาย,
ที่เราไม่เคยรู้,
ในหลวง,
พระองค์ท่าน,
สีเหลือง
“พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีฯ” ประทานรางวัลในงาน Thailand Equestrian Federation Rising Star Awards Night ประจำปี 2556
เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2556 เวลา 19.30 น. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จไปยังโรงแรมโซฟิเทล สุขุมวิท ในการประทานรางวัลในงาน”ไทยแลนด์ อีเควสเทรียน เฟดเดอเรชั่น ไรซิ่ง สตาร์ อวอร์ด ไนท์” (ThailandEquestrian Federation Rising Star Awards Night) ประจำปี 2556 ซึ่งสมาคมขี่ม้าแห่งประเทศไทยจัดขึ้นเพื่อมอบรางวัลแก่นักกีฬาดีเด่นประจำสโมสร และนักกีฬาดีเด่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ เป็นการประกาศเกียรติคุณนักกีฬาที่มีความสามารถ โดยเฉพาะระดับเยาวชน ตลอดจนผลักดันให้กีฬาขี่ม้าเป็นที่รู้จักแพร่หลายภายในงานมีการมอบรางวัล “เพรซิเด้นท์ส คัพ” (President’s Cup) จากนายก-สมาคมขี่ม้าแห่งประเทศไทยแก่นักกีฬาที่ชนะการแข่งขันในประเภทศิลปะการบังคับม้า,ขี่ม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง, ขี่ม้าข้ามภูมิประเทศ และขี่ม้ามาราธอน
นอกจากนี้ยังมีรางวัล “อินเตอร์เนชั่นแนล แอคชีฟเม้นท์ อวอร์ด” (International Achievement Award) แก่นักกีฬาที่สร้างผลงานดีเด่นจากการแข่งขันในต่างประเทศ และรางวัลนักกีฬาประจำสโมสร ในการนี้ ได้ประทานรางวัล “ไรซิ่ง สตาร์ อวอร์ด-เบสท ออฟเดอะ เยียร์” (Rising Star Award-Best of the Year) แก่นักกีฬาดาวรุ่งที่มีผลงานโดดเด่นมาตลอดทั้งปี ในประเภทศิลปะการบังคับม้า, ขี่ม้าข้ามภูมิประเทศ, ขี่ม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง และขี่ม้ามาราธอน นอกจากนี้ ในงานยังมีการเปิดตัวนักกีฬาทีมชาติชุดซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ซึ่งพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์จะทรงเป็นนักกีฬาทีมชาติเข้าร่วมแข่งขันในประเภทศิลปะการบังคับม้า ร่วมกับนักกีฬาทีมชาติอีก 11 คนที่สมาคมฯ ส่งเข้าแข่งขันชิงชัยใน3 ประเภท คือ ประเภทศิลปะการบังคับม้า, ขี่ม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง และขี่ม้ามาราธอน
สืบสานพระราชปณิธาน “สมเด็จย่า” 21 ตุลาคม วันพยาบาลแห่งชาติ
วันที่ 21 ตุลาคม เป็น “วันพยาบาลแห่งชาติ” ตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี หรือ “สมเด็จย่า” ของปวงชนชาวไทย ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อวงการพยาบาลไทยอย่างหาที่สุดมิได้ ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจด้วยพระเมตตาในการพัฒนาสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของพสกนิกรทั่วประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารเพียงใด
เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่สมเด็จพระศรีนคริน ทราบรมราชชนนี ทรงเสียสละอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชทรัพย์ เพื่อพัฒนาการแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุข ด้วยพระวิริยอุตสาหะอย่างยิ่ง คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบให้ วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี เป็น “วันพยาบาลแห่งชาติ” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา โดยองค์กรพยาบาลทั่วประเทศจะพร้อมใจกันจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ ด้วยการวางพานพุ่มถวายสักการะ จัดกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ และให้บริการด้านสุขภาพต่าง ๆ แก่ประชาชนทั่วไปทุกปี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 มูลนิธิรางวัลสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธาน ได้จัดให้มีการมอบ “รางวัลสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี” เพื่อเฉลิม พระเกียรติเนื่องในวาระ 100 ปี พระราชสมภพ โดยเป็นรางวัลนานาชาติที่พิจารณาให้กับผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ทั่วโลก ที่มีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ อันก่อให้เกิดประโยชน์แก่มวลมนุษย์ในด้านสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิต ปีละ 1 รางวัลทุกปี ประกอบด้วยประกาศนียบัตร โล่รางวัล และเงินรางวัล
“สมเด็จย่า” ทรงเป็นพระมิ่งขวัญ เป็นแบบอย่างอันประเสริฐ และเป็นความภาคภูมิอย่างที่สุดของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาล ทรงเข้าศึกษาที่ “โรงเรียนหญิงแพทย์ผดุงครรภ์แลการพยาบาลไข้” ในปี พ.ศ. 2456 และทรงสำเร็จการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2459 นับเป็นเกียรติยศอันสูงสุดของโรงเรียน จากนั้นได้รับพระราชทานทุนการศึกษาจากสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทรงพบกับสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก อันเป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง
“โรงเรียนหญิงแพทย์ผดุงครรภ์แลการพยาบาลไข้” เป็นสถาบันการศึกษาพยาบาลแห่งแรกของไทย โดยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งขึ้นในบริเวณโรงพยาบาลศิริราช เมื่อปี พ.ศ. 2439 และได้ดำเนินการจัดการศึกษามาเป็นเวลา 117 ปี มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยในปี พ.ศ.2515 ได้รับการยกฐานะเป็น คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งนี้ เมื่อเกิดภาวะขาดแคลนพยาบาลตั้งแต่ปีการศึกษา 2535 เป็นต้นมา จึงต้องรับนักศึกษาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ประสบปัญหาความไม่เพียงพอของสถานที่ ทางคณะฯ จึงมีโครง การปรับปรุงอาคาร “พระศรีนครินทร” ภายในโรงพยาบาลศิริราช ช่วงปี พ.ศ. 2543– 2545 เพื่อให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นสำหรับจัดการเรียนการสอน การศึกษาค้นคว้าวิจัย และการสร้างองค์ความรู้ใหม่ทางการพยาบาลแก่นักเรียนในประเทศและต่างประเทศ
เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ผ่านเลขาธิการพระราชวังให้สร้าง “อาคารมหิดลอดุลยเดช-พระศรีนครินทร” ที่มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้พระราชทานเงินจากบัญชี “สมเด็จพระศรีฯ โดยสำนักพระราชวัง” จำนวน 613,258,900 บาท เป็นค่าก่อสร้างอาคาร ซึ่งเป็นเงินของพี่น้องประชาชนราว 3 ล้านคน ที่ทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเสด็จพระราชกุศล ในโอกาสที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่พระบรมมหาราชวัง เมื่อปี พ.ศ. 2538
“อาคารมหิดลอดุลยเดช-พระศรีนครินทร” สร้างขึ้นเพื่อสืบสานพระราชปณิธานในการส่งเสริมวิชาชีพการพยาบาลให้มีความรู้ ความก้าวหน้าทัดเทียมนานาชาติ การก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2555 ซึ่งเป็นปีแห่งการเฉลิมพระเกียรติ 150 ปี พระราชสมภพสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และ 120 ปี พระราชสมภพสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทางคณะฯ จึงได้จัดสร้าง “หอพระราชประวัติศรีสวริน ทิราราชภักดี และหอพระราชประวัติบรมราชบุพการีกิตติประกาศ” ภายในอาคารนี้ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 และเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคาร เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2556
นอกจากนี้ ยังพระราชทานเงินคงเหลือพร้อมผลประโยชน์จากบัญชี “สมเด็จพระศรีฯ โดยสำนักพระราชวัง” เพื่อสมทบกองทุนบำรุงรักษาอาคารมหิดลอดุลยเดช-พระศรีนครินทร โดยจะมีพิธีส่งมอบเงินที่ศาลาว่าการพระราชวัง ในวันที่ 21 ตุลาคม 2556 นี้ โดยนายแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิ การพระราชวัง เป็นประธาน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นต่อคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และวิชาชีพการพยาบาลอย่างหาที่สุดมิได้ โดยจะมุ่งปฏิบัติภารกิจตามรอยพระบาทในการสร้างสรรค์สุขภาพดีถ้วนหน้าให้แก่ประชาชน ตามคำขวัญวันพยาบาลแห่งชาติ
“การพยาบาลก้าวไกล เพราะนํ้าใจเหล่าพยาบาล
เสียสละและบริการ ตามปณิธานสมเด็จพระบรมราชชนนี”
“เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเสียสละอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชทรัพย์ เพื่อพัฒนาการแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณ สุข ด้วยพระวิริยอุตสาหะอย่างยิ่ง คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบให้วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี เป็น “วันพยาบาลแห่งชาติ” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา”
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)