วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

“พระเทพฯ” ทรงนำคณะกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ศึกษาดูงานโครงการพระราชดำริ


เมื่อ 28 ต.ค.2556 เวลา 8.39 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงงานแปรรูปแมคคาเดเมีย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย วันที่ 2 ทรงนำคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์ เยี่ยมชมการดำเนินงานของโรงงาน ซึ่งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งขึ้นในปี 2538  เพื่อเป็นสถานที่แปรรูปแมคคาเดเมียจากโครงการป่าเศรษฐกิจให้มีมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีชาวเขาเผ่าอาข่า และมูเซอทำงาน รวม 65 คน  ภายในโรงงานแบ่งออกเป็น 4 ส่วน  คือ ส่วนคัดแยก, กะเทาะเปลือก, แปรรูป และบรรจุภัณฑ์ สามารถแปรรูปแมคคาเดเมียดิบได้ 40-60 ตันต่อปี เป็นผลิตภัณฑ์ 6 ประเภท ได้แก่ แมคคาเดเมียปรุงรส, น้ำผึ้งแมคคา, แมคคาบด, แมคคาอบสมุนไพร, คุ๊กกี้แมคคาเดเมีย และเค้ก  นอกจากนี้ยังนำเปลือกเขียวของแมคคาเดเมียมาบดผสมกับมูลสัตว์ใช้เป็นปุ๋ยคอกบำรุงต้นส่วนเปลือกกะลา หรือเปลือกแข็งนำไปเผาสำหรับใช้เป็นถ่าน ผลิตภัณฑ์แปรรูปชนิดใหม่ที่จะออกจำหน่ายในปีนี้ คือ ชุดของขวัญคุ๊กกี้แมคคาไวท์ช็อคโกแลต และช็อคโกแลตชิป

โครงการป่าเศรษฐกิจ ส่งเสริมการปลูกถั่วแมคคาเดเมีย รวมถึงกาแฟอาราบิก้า เนื่องจากผลผลิตมีราคาสูง เป็นที่ต้องการของตลาด ใช้พื้นที่ปลูกไม่มากสามารถปลูกแซมในป่าได้ ทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชนในระยะยาว โดยพื้นที่ป่าส่วนใหญ่ไม่ถูกทำลาย ถือเป็นความสำเร็จที่ทำให้คนกับป่าบนดอยตุงอยู่ร่วมกันได้อย่างดี ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

เวลา 9.32 น. เสด็จพระราชดำเนินไปยังศูนย์ผลิตและจำหน่ายงานมือ โครงการพัฒนาดอยตุงพื้นที่ทรงงาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทอดพระเนตรการดำเนินงานโรงกระดาษสา ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อสร้างอาชีพให้แก่ราษฎร และออกแบบพัฒนาคุณภาพการผลิตกระดาษสาให้ดียิ่งขึ้น  โดยใช้ความรู้พื้นฐานการผลิตกระดาษสาที่มีในท้องถิ่นผนวกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เป็นที่นิยมของตลาดทั้งในและต่างประเทศ  ปัจจุบันมีคนงาน 30 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าต่างๆ ผลิตกระดาษสา 2 รูปแบบ คือ แบบไทย มีผิวหนา หยาบ ทนทาน และแบบญี่ปุ่น มีผิวบาง เรียบเนียน สามารถผลิตกระดาษสาทั้ง 2 แบบได้ 700 แผ่นต่อวัน นอกจากนี้ยังเพิ่มความสวยงามด้วยการนำวัสดุเหลือใช้มาสร้างลวดลายต่างๆ ช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้อีกทางหนึ่ง โดยปีนี้ได้นำใยผ้าจากโรงทอผ้าภายในศูนย์ฯ มาเป็นวัสดุเพิ่มลวดลายแบบใหม่ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด

จากนั้น ทอดพระเนตรการดำเนินงานของโรงทอผ้า ซึ่งตั้งขึ้นตามพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในการสร้างงานให้กับผู้หญิงชนเผ่าต่างๆ บนดอยตุง ซึ่งส่วนใหญ่มีความรู้ด้านงานฝีมือ ปักผ้า ทอผ้า และเย็บผ้า เพื่อสร้างเสริมรายได้ให้แก่ครอบครัว ปัจจุบันมีคนงาน 127 คน สามารถผลิตผ้าประเภทต่างๆ ได้เฉลี่ยวันละ 300  เมตร ส่งจำหน่ายร้านดอยตุงในสนามบินสุวรรณภูมิ, เชียงราย, เชียงใหม่ และห้างสรรพสินค้าต่างๆ โดยที่โรงทอผ้าแห่งนี้ ได้สร้างโอกาสให้ผู้หญิง 3 วัย คือ รุ่นยาย, รุ่นแม่ และรุ่นลูกได้ทำงานในที่เดียวกัน สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยไม่ไปข้องเกี่ยวกับการค้าประเวณี หรืออาชีพผิดกฎหมายอื่นๆ

ต่อจากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโรงคั่วเมล็ดกาแฟ ซึ่งตั้งขึ้นในปี 2537 เพื่อรองรับผลผลิตกาแฟพันธุ์อาราบิก้าจากโครงการป่าเศรษฐกิจใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟ เพื่อให้ได้มาตรฐาน และคุณภาพคงที่  นอกจากนี้โรงงานยังมีการควบคุมกระบวนการต่างๆ เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ในปีที่ผ่านมาสามารถผลิตสารกาแฟ หรือ ผงกาแฟได้เฉลี่ย 104 ตัน ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ไอซ์ คอฟฟี่ ซึ่งเป็นกาแฟที่สามารถชงเป็นเครื่องดื่มเย็น และยังคงรสชาติเข้มข้นไว้ และกาแฟแบบบรรจุในถุงกรอง เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค

เวลา 11.02 น. เสด็จพระราชดำเนินไปยังบ้าน นายสมศรี ใจสูง บ้านสันเกล็ดทอง ตำบลโป่งงาม อำเภอแม่สาย ทอดพระเนตรแปลงผักสด ของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการบ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง และโครงการปลูกผักปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานจีเอพี (GAP) หรือ การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี ซึ่งอยู่ในความดูแลของศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริที่ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะปลูก และการดูแลแปลง ตลอดจนวางแผนการเพาะปลูก เพื่อให้ได้ผักสดที่มีคุณภาพ และปลอดสารพิษไว้บริโภคตลอดทั้งปี และมีเหลือจำหน่ายให้กับศูนย์ฯ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ปัจจุบันขยายผลไปยังชุมชนตำบลโป่งงาม และตำบลโป่งผา  รวม 1,235 ครัวเรือน และหน่วยราชการอีก 18 แห่ง ผลผลิตส่วนหนึ่งยังนำไปจำหน่ายที่ร้านจันกะผัก ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของศูนย์ฯ

เวลา 11.40 น. เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโป่งงาม ทอดพระเนตรการดำเนินงานโครงการบ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง ซึ่งโรงพยาบาลเป็นหนึ่งในหน่วยงานราชการที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับเมล็ดพันธุ์ และกล้าพันธุ์จากศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ มาปลูกหมุนเวียนตามฤดูกาลในบริเวณพื้นที่ว่าง ผลผลิตที่ได้ส่วนหนึ่งใช้ประกอบอาหารมื้อกลางวันให้กับเจ้าหน้าที่สัปดาห์ละครั้ง และอนุญาตให้ผู้ป่วยเก็บกลับไปประกอบอาหารบริโภคที่บ้านได้ สนองพระราชดำริในการให้ราษฎรในชุมชนได้มีผักที่มีคุณภาพปลอดสารพิษไว้บริโภคในครัวเรือน ทั้งยังเป็นแบบอย่างให้หน่วยงานราชการ เทศบาล ตลอดจนประชาชนที่สนใจได้เข้าไปศึกษาดูงานและนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ว่าง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เวลา 12.11 น. เสด็จพระราชดำเนินไปยังศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธุ์เพ็ญศิริ อำเภอแม่สาย ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดตั้งศูนย์ฯ แห่งนี้ขึ้นเมื่อปี 2552 เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสครบรอบ 100 ปี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ และเป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ผักสะสม สำรองไว้สำหรับเป็นเมล็ดพันธุ์พระราชทานแก่ราษฎรทั่วไป รวมถึงผู้ประสบภัยพิบัติ ตลอดจนปรับปรุง และพัฒนาพันธุ์พืชสายพันธุ์ดี ทนทานต่อโรค และแมลง  ในการนี้ ทรงนำคณะกรรมการรางวัลนานาชาติฯ ชมนิทรรศการโครงการผลิตเมล็ดพันธุ์ผักพระราชทาน “เพื่อนช่วยเพื่อน” เพื่อให้ราษฎรได้มีโอกาสถวายงาน และช่วยให้มีเมล็ดพันธุ์ผักสำรองเพียงพอตามพระราชประสงค์ เริ่มพระราชทานเมล็ดพันธุ์ผักพื้นบ้านชุดแรกแก่ผู้ประสบอุทกภัยในโครงการฟื้นฟูพื้นที่ผู้ประสบอุทกภัย 17 จังหวัดในปี 2556 นอกจากนี้ ยังทรงรวบรวมพันธุ์พืชจากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อพระราชทานแก่ศูนย์ฯ ไว้ทดลองปลูก โดยศูนย์ฯ เน้นพัฒนาพันธุ์พืชอาหารที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพในชีวิตประจำวัน สามารถสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพให้กับครัวเรือน สร้างความแข็งแรงมั่นคงให้กับตนเอง และครอบครัวได้อย่างยั่งยืน สนองพระราชดำริ

เวลา 14.02 น. เสด็จพระราชดำเนินไปยังศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมัน ซึ่งหลังจากทรงพบว่าน้ำมันเมล็ดชาเป็นน้ำมันที่มีประโยชน์สูงต่อร่างกายหลายด้าน จึงมีพระราชดำริให้สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ศึกษาและทดลองปลูกต้นชาน้ำมันที่ได้รับจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่ปี 2547 ในรูปแบบของการปลูกป่า เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ และราษฎรสามารถใช้ประโยชน์จากป่าในลักษณะเกื้อกูลกันอย่างยั่งยืน  โอกาสนี้ทอดพระเนตรนิทรรศการน้ำมันชาและพืชน้ำมันชนิดต่างๆ ที่ทางศูนย์ฯ ผลิต และจำหน่าย โดยพื้นที่ส่วนนิทรรศการนี้เชื่อมต่อกับโรงหีบน้ำมัน ซึ่งเป็นโรงหีบน้ำมันชาแห่งแรก และสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตส่วนใหญ่ออกแบบ และผลิตภายในประเทศ สามารถผลิตน้ำมันชา และน้ำมันจากพืชชนิดอื่นๆ สำหรับบริโภคได้ เฉลี่ยเดือนละ 5,000 ลิตร ในการนี้ ทรงเยี่ยมร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตราเมล็ดชา เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมัน, กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์ที่ใช้น้ำมันชาเป็นส่วนผสม นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ตราภัทรพัฒน์ของมูลนิธิชัยพัฒนา

เวลา 15.33 น. เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการดำเนินงานโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย-เมียนม่าร์ ณ โรงพยาบาลแม่สาย ซึ่งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมกับสำนักงานสาธารสุขจังหวัดเชียงราย จัดทำขึ้น เพื่อให้บริการตรวจสุขภาพชาวเมียนม่าร์ในเขตแนวชายแดน เพื่อควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรค อาทิ วัณโรค, โรคเท้าช้าง, ซิฟิลีส และตรวจหาเชื้อมาลาเรีย ที่ผ่านมาได้ออกหน่วยให้บริการตรวจสุขภาพแล้ว 56 หมู่บ้าน โดยเฉพาะในเขตจังหวัดท่าขี้เหล็ก และเขตว้า มีผู้เข้ารับบริการ 5,853 คน  สามารถตรวจคัดกรองพบโรคมาลาเรีย, ไข้เลือดออก และวัณโรค รวม 17 คน ซึ่งได้ทำการรักษาและส่งต่อผู้ป่วยไปรับการรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังให้บริการผู้ที่มีปัญหาทางช่องปากและฟันกว่า 600 คน โดยโครงการนี้มีห้วงระยะเวลาดำเนินงานระหว่างปี 2556-2561 ซึ่งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้สนับสนุนยา และเวชภัณฑ์ รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ สนองพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในการช่วยเหลือประชาชนที่ยากจนให้รอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ

แนวทางการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ในยุคที่สังคมเปลี่ยนไป


โดย โลมาท่าพระอาทิตย์

กระผมเป็นเพียงนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์คนหนึ่ง  ดังนั้นความเห็นและข้อคิดที่ผมนำเสนออาจไม่เป็นความเห็นทางวิชาการ  เป็นเพียงความเห็นที่ผมใช้ความคิดและสำนึกของผมพิจารณาขึ้นมาเอง แต่ด้วยความเชื่อว่าปัญหาต่างๆ ในสังคมประชาธิปไตยนั้นต้องแก้ด้วยเสียงของประชาชน  ผมจึงขอใช้สิทธิของผมในการแสดงความเห็นครับ  เป็นเสียงเล็กๆ ที่หวังว่าจะเป็นส่วนช่วยแก้ปัญหาต่างๆในบ้านเมือง  หากท่านมีความคิดเห็นตรงหรือแตกต่างกับผม ผมก็ยินดีที่จะรับฟังครับ

ร่มโพธิ์ร่มไทรของประชาชน : แนวทางการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ในยุคที่สังคมเปลี่ยนไป

เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน อากาศร้อนระอุจากแสงแดดที่เผาลงมาอย่างไม่ปราณีทำให้ผู้คนที่อยู่ตามเมืองใหญ่ๆ อย่างกรุงเทพฯต่างพากันหลบอยู่ในร่มตามห้างสรรพสินค้าบ้าง ตามร้านอาหารบ้าง หรือตามสำนักงานออฟฟิศเปิดแอร์เย็นฉ่ำเป็นที่กำบังอันทันสมัยและสบายยิ่งนัก  จนอาจมีคนบางพวกลืมนึกคิดไปว่า ก่อนเราจะมีบ้านเรือน อาคารทันสมัยเช่นนี้ เราจำต้องพึ่งใครในยามที่เรารุ่มร้อน ทุกข์ใจ และใคร หรือสถาบันใดที่ได้อยู่เคียงคู่บ้านเมืองเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้เราเสมอมา

คำตอบคงเป็นอื่นใดไปมิได้ นอกจาก “สถาบันพระมหากษัตริย์”

หากจะกล่าวสรรเสริญถึงคุณความดีนั้น  เห็นว่าคงจะอ่านกันไม่ไหว แต่หากพูดในเชิงเปรียบเปรย ก็เห็นจะจริงตามคำกล่าวว่า สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นดั่ง “ร่มโพธิ์ร่มไทร” ที่เป็นหลักประกันความสุขให้กับคนไทยเสมอมา ทั้งรักษาเอกราช ผดุงความยุติธรรม และดูแลประชาชนทางด้าน เศรษฐกิจ สาธารณสุข และสังคม

จะกล่าวกันให้เข้าใจง่ายๆก็คือ “ยามใดไทยเป็นไท ยามนั้นย่อมมีสถาบันพระมหากษัตริย์”

แต่ในขณะเดียวกันดังพุทธพจน์ที่ว่า “การนินทาหรือการสรรเสริญนี้มีมาแต่โบราณ มิใช่มีเพียงวันนี้ คนย่อมนินทาแม้ผู้นั่งนิ่ง แม้ผู้พูดมาก แม้ผู้พูดพอประมาณ ผู้ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก บุรุษผู้ถูกนินทาโดยส่วนเดียว หรือถูกสรรเสริญโดยส่วนเดียวไม่มี แล้วจักไม่มี และไม่มีในบัดนี้”

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีผู้คนที่เสียผลประโยชน์บางกลุ่มกำลังพยายามสร้างกระแสสังคม  เพื่อล้มล้างและทำให้สถาบันฯมัวหมอง บ้างก็เป็นอาจารย์ บ้างก็เป็นนักการเมืองผู้ทรงเกียรติ แต่กลับเป็นวัวลืมตีน ลืมหรือแกล้งลืมว่ากว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้เราเป็นหนี้บุญคุณใคร และที่ยิ่งร้ายไปกว่านั้นคือมีผู้ที่พยายามปลุกปั่นปลุกกระแสผ่านทางสื่อสมัยใหม่ให้ประชาชนหลงผิดตามกันไปด้วย

พระมหากรุณาธิคุณที่พระมหากษัตริย์ทรงมีต่อพวกเราตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ความจริงเป็นที่ประจักษ์แก่ปวงชนชาวไทย และชาวต่างชาติ ว่าทรงตรากตรำพระวรกาย เมตตาช่วยเหลือ ห่วงใยดูแลทุกข์สุขของปวงชนชาวไทยโดยมิได้หวังสิ่งใดตอบแทน ยากนักที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน

แม้พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตหลายพระองค์ทรงสละแม้ชีวิตออกรบแทนเราเพื่อกู้ชาติ เพื่อรักษาชาติของเรา

       หลายพระองค์ทรงพัฒนาบ้านเมืองให้ก้าวหน้าอย่างมาก บางพระองค์นำชาติให้รอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ ช่วยให้ไทยเป็นไทมาถึงทุกวันนี้ 

หากพวกเราชาวไทยมีสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและตระหนักถึงภัยร้ายที่มีพวกฉกฉวยผลประโยชน์กำลังพยายามทำลายล้างสถาบันฯ

ถึงเวลาแล้วหรือยัง  ที่พวกเราจะลุกขึ้นเผชิญหน้ากับความเป็นจริง แสดงความจงรักภักดี ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ของเราประดุจดังต้นไม้ใหญ่ เมื่อมีไฟไหม้มาใกล้หากเราช่วยกันดับไฟ ทำนุบำรุง ดูแลรักษา ต้นไม้นั้นก็จะยังคงอยู่ แผ่กิ่งก้านสาขา ผลิดอก ออกผล ให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับพวกเราทุกคนต่อไป

ในสภาวการณ์เช่นนี้ ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่รักและเป็นห่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมจึงอยากแสดงความเห็นส่วนตัวถึงแนวทางที่เราควรดำเนินการเพื่อดำรง “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ให้อยู่คู่ชาติไทยสืบต่อไป

1. รักษากฎหมายอาญามาตรา 112 “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”  แต่ปรับเปลี่ยนขั้นตอนในการ ดำเนินคดีและเอาผิด

       “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย (1) พระมหากษัตริย์ (2) พระราชินี (3) รัชทายาท หรือ (4) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” – กฎหมาย อาญามาตรา 112

ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าถึงแม้คดีตามมาตรา 112 นั้นจะต้องผ่านทั้งตำรวจ และ อัยการเพื่อพิจารณาว่าควรส่งฟ้องหรือไม่ แต่คดีกลับมีเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ทำให้มีประชาชนเกิดระแวงกลัวว่าตนอาจพูดอะไรที่ผิดมาตรา 112 โดยไม่เจตนา บ้างก็แคลงใจว่าผู้ถูกฟ้องนั้นได้รับความยุติธรรมหรือไม่ ผู้กระทำความผิดได้กระทำอะไรถึงได้รับโทษดั่งพิพากษา

การจะพิจารณาคดีก็พิจารณาในทางลับ ไม่สามารถหารายละเอียดได้จนกว่าคดีจะสิ้นสุดแล้วจึงจะหาอ่านได้จากคำพิพากษา ซึ่งเป็นภาษากฎหมาย ไม่เป็นที่นิยมอ่าน สื่อเองก็เสนอข่าวได้เพียงว่าใครเป็นผู้ถูกกล่าวหาแต่ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนยิ่งสร้างความสงสัยว่าด้วยความยุติธรรมของกฎหมายฉบับนี้

ก่อนที่เราจะพิจารณาการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินคดีตามมาตรา 112 เราควรมองไปที่สาเหตุที่เรามีร่างกฎหมายฉบับนี้ใช้อยู่ในประเทศ

เป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อประเทศของเราได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบปัจจุบัน มีประมุขสามฝ่าย คือฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ หาก “รัฐ” ต้องการฟ้องร้องว่าความใดๆ รัฐบาลโดยมีประมุขฝ่ายบริหารคือนายกรัฐมนตรี หรือหน่วยงานของรัฐอื่นๆต้องเป็นคู่ความในคดี ดังนั้นในระบอบปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของประเทศจึงไม่มีเหตุและไม่เป็นคู่ความกับใคร

       ด้วยความที่พระองค์ท่านไม่เป็นคู่ความในคดีต่างๆ ท่านจึงไม่สามารถชี้แจงข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพระองค์ท่านได้ กฎหมายหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328 และ 393 ไม่ได้ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด

ดังนั้นเราจึงมีมาตรา 112 ขึ้นมาเพื่อเปิดทางให้เรามีช่องทางตามกฎหมายให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์เอาผิดบุคคลที่ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ได้

สรุปง่ายๆ คือมาตรา 112 คล้ายกับกฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป มีวัตถุประสงค์ที่จะปกป้องภาพลักษณ์อันดีงามของสถาบันพระมหากษัตริย์ และลงโทษผู้ที่ “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” ต่อสถาบันฯ

แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปคือความกระจ่างของนิยามคำว่า “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” ในกฎหมาย ถึงแม้มีนักกฎหมายหลายท่านอ้างว่าจะชัดเจนแล้วก็ตาม แต่หากสังคมไม่เข้าใจก็ไม่มีความหมายอะไร

ทุกวันนี้ สิ่งที่คนธรรมดาเห็นคือ:
– ทราบว่ามีคนกล่าวร้ายสถาบันฯ โดยคนส่วนใหญ่ไม่ทราบข้อความ
– ผู้ถูกกล่าวหาติดคุกไปแล้ว

สิ่งที่ควรจะอยู่ระหว่างข้อ 1 และข้อ 2 คือ รายละเอียดและตรรกะที่ทางตุลาการใช้ในการพิจารณาว่าเหตุใดศาลถึงเห็นว่าจำเลยมีความผิด ได้กระทำการ “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” จริง

อันที่จริงแล้วปัญหานี้น่าจะสามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งหากแก้อาจเป็นชนวนเหตุให้เกิดความขัดแย้งในสังคม สำหรับการแก้เราแก้ที่วิธีดำเนินการครับ มีศาลซึ่งมีหน้าที่ตีความและรักษากฎหมายเป็นเจ้าภาพ

โดยผมขอเสนอแนะให้:
– ศาล และหน่วยงานรักษากฎหมายต่างๆชี้แจงให้ประชาชนทราบโดยทั่วกันว่าการกระทำอันใดเข้าข่าย “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” เพื่อสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย
– ศาลชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างโทษและความผิด เพื่อสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย
– ศาลแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชน เพื่อชี้แจงประเด็นข้อกังขาต่างๆ เท่าที่จะกระทำได้ตามกฎหมายในคดีสำคัญๆ เป็นระยะๆขณะการพิจารณาคดี อะไรที่สามารถเปิดเผยได้ก็ควรเปิดเผย อนึ่งข้อเสนอนี้ไม่ได้หมายความว่าให้ยกเลิกการพิจารณาคดีในทางลับนะครับ แต่เป็นการทำให้ประชาชนเห็นว่าการทำงานของฝ่ายตุลาการไม่มีเจตนากลั่นแกล้งประชาชน
– ผู้บังคับใช้กฎหมายพิจารณาเจตนารมณ์ของผู้กระทำความผิดเป็นหลัก และกล้าที่จะยกคำร้องตามสมควร หากตัดสินใจฟ้องควรชี้แจงว่าจำเลยมีความผิดอะไรตามบรรทัดฐานทางกฎหมายที่ผมเสนอให้ประกาศในข้อ 1

2. ชี้แจง ตอบโต้ สร้างความกระจ่างให้ประชาชนเห็นถึงข้อเท็จจริงว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์

เนื่องจากผมศึกษาอยู่ต่างประเทศ ผมจึงได้มีโอกาสพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายในอินเตอร์เน็ทอยู่มาก โดยเฉพาะทางเว็บไซต์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ upload คลิปของตนขึ้นไปบนเว็บ โดยเมื่อพบเห็นผมก็จะแจ้งกระทรวง ICT ให้ทราบทุกครั้งไป

แต่สิ่งที่ผมสังเกตได้ชัดเจนที่สุดคือ ข้อกล่าวหาใส่ร้ายพระองค์ท่านล้วนเป็นเรื่องที่ไร้สาระ และเบาปัญญาอยู่ค่อนข้างมากครับ คือเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องไม่มีเหตุผลมาผูกกัน อันที่จริงผมก็อยากเล่าให้ฟังเป็นเรื่องขำขันแต่ก็เกรงว่าจะผิดกฎหมายตามไปด้วย

แต่ประเด็นคือ หลายครั้งข้อกล่าวหานั้นดูแล้วจะยิ่งชี้ให้เห็นถึงความเบาปัญญาของผู้กล่าวหามากกว่าผู้ถูกกล่าวหา ดังนั้นนอกจากการเอาผิดและปราบปรามคนพวกนี้แล้ว รัฐควรมีสิทธิ์ที่จะเปิดเผยและโต้แย้งกับข้อมูลเท็จเหล่านี้ได้โดยไม่ยาก ถึงแม้ในปัจจุบันการเปิดเผยข้อความที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพจะผิดกฎหมาย แต่เราควรมีกลไกพิเศษหรือมีคณะกรรมารพิเศษที่ประกอบด้วยฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายการเมือง ฝ่ายนิติ และนักวิชาการ เพื่อใช้โอกาสเหล่านี้ทำลายความน่าเชื่อถือของพวกเนรคุณแผ่นดิน

3. เร่งสรรหากิจกรรมที่ปลูกฝังจิตสำนึกให้นักเรียน และคนรุ่นใหม่รู้ถึงคุณของสถาบัน เช่นการจัดกิจกรรมตามรอยพระยุคลบาท”

จากการที่ผมเป็นนักศึกษา คลุกคลีอยู่กับเยาวชนทั้งที่เรียนเมืองนอกและที่เรียนในไทย ผมต้องยอมรับว่ามีคนรุ่นใหม่หลายคนที่ไม่เข้าใจ ไม่สนใจ ว่าเพราะเหตุใดสถาบันพระมหากษัตริย์ถึงมีความสำคัญต่อคนไทย

เพราะความไม่เข้าใจตรงนี้จึงทำให้หลายคนจงรักภักดี “ตามหน้าที่” หลายคนก็ไม่จงรักภักดีเสียเลย

ถือเป็นโชคร้ายของคนรุ่นผมที่หลายคนเกิดไม่ทัน จำไม่ได้ถึงเมื่อครั้งที่พระองค์พลานามัยดีกว่านี้ เสด็จออกทรงงานหนักในที่ต่างๆให้สังคมเห็น ถึงทุกวันนี้ท่านจะยังทรงงานหนักแต่หลายครั้งก็ไม่ได้เป็นที่ประจักษ์ให้พวกเราได้เห็น

ถึงแม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลและหน่วยงานต่างๆจะพยายามเผยแพร่พระราชกรณียกิจผ่านทางสื่อและนิทรรศการต่างๆ แต่ผมก็ยังเห็นว่าไม่เพียงพอ รัฐบาลต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ทำสงครามกับพวกเนรคุณแผ่นดิน โดยคิดโครงการดีๆให้ประชาชนตระหนักจริงๆว่าท่านต้องลำบากเพียงไรเพื่อเรา

        โดยผมอยากให้โรงเรียนทำโครงการ “ตามรอยพระยุคลบาท” พานักเรียนบำเพ็ญประโยชน์ในที่ต่างๆตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงงานไว้ เพื่อให้พวกเขาได้เห็นและตระหนักได้ว่าพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านนั้นล้นพ้นไร้คำบรรยายจริงๆ พวกเขาจะได้ “เข้าใจ” ว่าด้วยเหตุใดคนไทยทั้งประเทศถึงจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นนี้

4. เปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถสอบถามข้อสงสัย ทั้งทางกฎหมายและทางประวัติศาสตร์ว่าด้วย พระราชอำนาจ

หลายครั้งประชาชนได้รับข้อมูลเท็จว่าด้วยพระราชอำนาจ ทำอะไรไม่พอใจอะไรพวกเนรคุณแผ่นดินก็มักโยนว่ามี “ผู้เหนือกฎหมาย” คอยบงการอยู่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพระราชอำนาจในปัจจุบันนั้นมีข้อจำกัดตามกฎหมายมากมายกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

รัฐควรมีหน่วยงานที่คล่องแคล่วทันกระแส เพื่อคอยชี้แจงข้อเท็จจริง สยบข่าวลือ เปิดช่องให้ประชาชนสอบถามหาความรู้ว่าด้วยพระราชอำนาจ และสามารถชี้แจงตอบคำถามที่พบบ่อยได้ เช่นเรื่องกฎหมายมาตรา 112 เรื่องการขออภัยโทษ เรื่องการยื่นฎีกา ฯลฯ

5. ดำเนินการต่อกบฏและผู้ที่ต้องการใช้ความรุนแรง เพื่อการเปลี่ยนแปลงระบอบอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน โดยเด็ดขาดตามกฎหมายที่มีอยู่

ในความเห็นของผม ผู้ที่ต้องลุกขึ้นมาจับอาวุธคือผู้ที่ตระหนักว่าตนไม่สามารถใช้เหตุผลโน้มน้าวให้คนส่วนใหญ่เห็นตามได้ จึงจำต้องใช้ความกลัวเพื่อบีบบังคับให้คนจำยอมตามพวกเขา

ผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงต้องเกิดจากความกระจ่าง ความเห็นจริงมิใช่ความกลัว จึงจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ถูกต้องและยั่งยืน ผู้ที่ใช้กำลังนั้นคือพวกแพ้ปัญญา แล้วดื้อดึงเชื่อด้วยความงมงาย หากปล่อยไว้จะเป็นภัยต่อแผ่นดิน

หากฝ่ายต่างๆ เร่งดำเนินการดั่งคำชี้แนะที่ผมได้กล่าวไว้ ผมมั่นใจว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับคนไทยไปอีกนานครับ.

“ในหลวง” โปรดเกล้าฯ ไว้ทุกข์ “สมเด็จพระสังฆราช” 30 วัน


เมื่อ 25 ต.ค.2556 “ในหลวง” โปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ “สมเด็จพระสังฆราช” 30 วัน เริ่ม 25 ต.ค.-23 พ.ย.นี้ พร้อมถวายเกียรติยศตามพระราชประเพณีทุกประการ ด้าน “ยิ่งลักษณ์” สนองพระบรมราชโองการ ออกประกาศสำนักนายกฯให้หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจลดธงลงครึ่งเสา 3 วัน



เลขาธิการพระราชวัง รับพระบรมราชโองการฯ ให้ประกาศว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สิ้นพระชนม์ เนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ณ โรงพยาบาลจุฬากรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2556 เวลา 19 นาฬิกา 30 นาที

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยความเศร้าสลดพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก 15 วัน นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2556 ถึงวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2556 และโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพไว้ ณ พระตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร และถวายพระเกียรติยศ ตามราชประเพณีทุกประการ

สำนักนายกรัฐมนตรี ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สิ้นพระชนม์” ว่า

ตามที่ได้มีประกาศสำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สิ้นพระชนม์ ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2556 นั้น รัฐบาลได้รับทราบด้วยความโทมนัสอย่างยิ่ง และได้พิจารณาเห็นว่า โดยที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) ได้บำเพ็ญสรรพกรณียกิจอันเป็นประโยชน์ยิ่งแก่บวรพุทธศาสนาและการปกครองคณะสงฆ์ในสังฆมณฑล ตลอดจนพุทธศาสนิกชนชาวไทยตลอดมา จึงเห็นสมควรประกาศดังนี้

1.ให้สถานที่ราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงลงครึ่งเสา มีกำหนด 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 25-27 ตุลาคม 2556
2.ให้ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ ไว้ทุกข์มีกำหนด 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2556 ถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2556

ทั้งนี้ ขอความร่วมมือองค์กรอิสระทุกแห่งได้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นโดยพร้อมเพรียงกัน

ประกาศ ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2556
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี

ล่าสุด


เลขาธิการพระราชวัง รับพระบรมราชโองการฯ ให้ประกาศว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺณโน) สิ้นพระชนม์ เนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2556 เวลา 19 นาฬิกา 30 นาที

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยความเศร้าสลดพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก จาก 15 วัน เป็น 30 วัน นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2556 ถึงวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2556 และโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพไว้ ณ พระตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร และถวายพระเกียรติยศตามราชประเพณีทุกประการ

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ซุ้มสำหรับในหลวง


ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับ แก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าเสด็จฯมาถึงแล้ว

วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ จึงไม่ยอมให้รถผ่าน

“…ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้… วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อน”  พระองค์จึงทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงออกข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว….

วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการ  พร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตาม และมีรับสั่งทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า “วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ..”

ทรงยืนรับคลื่นลมการเมืองแทนประชาชนและบ้านเมือง


ทรงยืนรับคลื่นลม
แทนประชาชนและบ้านเมือง

                                                                พูลเดช กรรณิการ์

คนไทยทุกคนมีบุญที่ได้เกิดมาและอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของในหลวง เพราะนอกจากพระองค์จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่สุดประเสริฐ ปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม เป็น “ผู้ปกครอง” ที่ไม่มีผู้ปกครองคนใดในโลกเสมอเหมือน พระองค์ยังเป็น “พ่อของแผ่นดิน” ที่ทุ่มเทการทำงานเพื่อประชาชนอย่างที่ไม่มีผู้ปกครองคนใดในโลกทำได้ ด้วยความรักความห่วงใยในประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้หวังผลทางการเมืองหรืออย่างอื่นเช่นผู้ปกครองทั่วไป

หาก 65 ปีที่ผ่านมา คนไทยไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่สุดประเสริฐอย่างพระองค์ บ้านเมืองและคนไทยจะเป็นอย่างไรจากปัญหาการเมืองที่รุมเร้าประเทศไทยมาตลอด
     พระองค์ขึ้นครองราชย์ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของ “คณะราษฎร” สองฝ่าย ที่ต่อสู้กันมาภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นผลสำเร็จ

บ้านเมืองระส่ำระสายเพราะการต่อสู้ทางการเมือง พระมหากษัตริย์หนุ่มต้องยืนอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดจากการแย่งชิงอำนาจของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองตอนนั้น พระองค์ต้องรับแรงถาโถมทางการเมืองมากมายเพราะคำสัญญาว่า “จะไม่ทอดทิ้งประชาชน”

สถานการณ์บ้านเมืองในตอนนั้น คนไทยไม่รู้จะพึ่งใคร นอกจากพระเจ้าอยู่หัวของพวกเขา อันสะท้อนออกมาเป็นเสียงตะโกนของคนไทยผู้หนึ่งว่า “ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน”

นับแต่วันนั้นมา ในหลวงไม่เคยทั้งประชาชนเลย แม้ว่าภยันตรายทางการเมืองจะรายล้อมรอบตัวพระองค์ และ “อะไรก็เกิดขึ้นได้กับพระองค์” แม้แต่ถึงชีวิต  ถัดจากยุคคณะราษฎรสองฝ่าย พระองค์ต้องเผชิญหน้ากับเผด็จการทหารเบ็ดเสร็จครองเมืองที่ทั้งข่มขู่กดดันพระองค์ แสดงอำนาจบาตรใหญ่เหนือพระองค์ และพร้อมที่จะเป็นภยันตรายต่อพระองค์ทุกเมื่อเช่นกัน

พระองค์ต้องดำรงสถานะพระเจ้าแผ่นดินอยู่อย่างกล้ำกลืนเพื่อให้ประชาชนมีที่ยึดเหนี่ยว และทรงแปรความกล้ำกลืนเป็นการออกบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่พสกนิกรทุกหัวระแหงทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่า “พวกเขายังมีพระเจ้าอยู่หัวอยู่กับพวกเขา”

ยุคลัทธิคอมมิวนิสต์แผ่เข้าสู่ประเทศไทย พระองค์ต้องเผชิญมรสุมทางการเมืองอีกครั้ง เพราะพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ซึ่งลัทธิคอมมิวนิสต์จะต้องทำลายและล้มล้างตามสูตรการปฏิวัติประชาชนที่ทำกันมาในหลายประเทศ ทั้งที่พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ควรถูกยกเว้นการโค่นล้มทำลายและเพราะพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่อยู่นอกเหนือนิยามการถูกทำลายของลัทธิคอมมิวนิสต์นี่เอง ที่ทำให้ในที่สุดลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่สามารถชนะสงครามประชาชนในประเทศไทยได้

     เราคนไทยและประเทศไทยจึงรอดพ้นจากการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์มาได้เพราะพระองค์ท่านหมดจากยุคลัทธิคอมมิวนิสต์ แทนที่ปัญหาการเมืองจะไม่ต้องไปกระทบพระองค์อีก กลับไม่เป็นเช่นนั้น การต่อสู้ระหว่างประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตย กับเผด็จการที่ยังตกทอดมา ก่อให้เกิดวิกฤตการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า

เหตุการณ์ 14 ตุลา เหตุการณ์ 6 ตุลา เหตุการณ์พฤษภาปี 35 บ้านเมืองวิกฤตและเสียหายอย่างหนัก ประชาชนเสียเลือดเสียเนื้อ ใครเล่าจะสามารถดับวิกฤตของบ้านเมืองได้ นอกจากพระองค์

พระองค์ต้องลงมาแก้วิกฤตการเมืองของบ้านเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะไม่อาจทิ้งประชาชนและปล่อยบ้านเมืองให้ลุกลามเสียหายต่อไปได้ การเมืองยังคงวนเวียนอยู่กับพระองค์ทั้งที่ไม่ประสงค์จะเกี่ยวข้อง

มีใครสำนึกบ้างว่า พระองค์ทรงยอมเปลืองตัวเพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองที่ไม่รู้จักจบสิ้น เพื่อบ้านเมืองที่พระองค์ทรงฟูมฟักมา และเพื่อประชาชนที่พระองค์ไม่เคยทอดทิ้ง

จนในที่สุด วิกฤตการเมืองก็ถาโถมเข้าสู่พระองค์ เมื่อ “การเมืองชั่วร้าย” หันไปเล่นงานพระองค์ เพราะต้องการอำนาจสูงสุดทางการเมืองโดยที่ไม่ต้องการให้มีใครหรือสถาบันใดอยู่เหนือกว่าและคอยทัดทาน

การเมืองชั่วร้ายทำลายพระองค์ด้วยการสร้างความเข้าใจผิดต่อประชาชนที่มีต่อพระองค์ ก่อเกิดวิกฤตในบ้านเมืองสองปีซ้อนด้วยการจลาจลในปี 2552 และ 2553 สร้างความทุกข์ให้กับพระองค์ที่ทรงห่วงบ้านเมืองและประชาชนมากยิ่งขึ้นในยามที่พระชนมายุมากแล้วและยังทรงพระประชวร แทนที่พระองค์จะได้พักผ่อนและสบายพระทัยหลังจากทรงงานหนักและทรงเผชิญกับวิกฤตการเมืองมาตลอด 65 ปี

ทั้งที่พระองค์สามารถเอาพระองค์รอดได้ด้วยการลอยตัวออกจากปัญหาการเมือง แต่เพราะพระองค์ไม่เคยทิ้งประชาชนและไม่อาจปล่อยบ้านเมืองให้เสียหายได้ ทำให้พระองค์ต้องเผชิญคลื่นลมทางการเมืองแทนประชาชนตลอดมา 

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จฯ แทนพระองค์ถวายน้ำสรงพระศพสมเด็จพระสังฆราช


เมื่อ 25 ต.ค.56 เวลา 16.29 น.สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินถึงตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อถวายสักการะพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) มีองคมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายต่างๆ เฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จฯ

จากนั้น เวลา 17.00 น.สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ถึงตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อถวายน้ำสรงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์

เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ถวายน้ำสรงพระศพเสร็จแล้ว เจ้าพนักงานสุกำพระศพลงสู่หีบ แล้วเชิญไปประดิษฐานหลังชั้นแว่นฟ้าทอง ประกอบพระโกศกุดั่นใหญ่ภายใต้เศวตฉัตร 3 ชั้น แวดล้อมด้วยเครื่องประกอบพระเกียรติยศ เสร็จแล้วทรงทอดผ้าไตรถวายพระศพ พร้อมทั้งทรงวางพวงมาลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพวงมาลาส่วนพระองค์ ที่หน้าพระโกศพระศพ

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้มีการพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประจำทั้งกลางวันและกลางคืน รับพระราชทานฉันเช้า 8 รูป เพล 4 รูป กำหนด 7 วัน

ส่วนการไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก จาก 15 วัน เป็น 30 วัน นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม ถึงวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2556 และโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประดิษฐานพระศพไว้ ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร และถวายพระเกียรติยศตามราชประเพณีทุกประการ

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

TIME ยกย่อง “ในหลวง” A MONARCHY FIGHTS FOR FREEDOM


แคน ไทเมือง

โซเชียลมีเดียทุกวันนี้ ประชาชนแสดงความจงรักภักดีด้วยการนำเสนอพระราชกรณียกิจมากมายหลากหลาย รวมทั้งเสียงชื่นชมจากทั่วโลก สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยได้รับการยอมรับมากที่สุด  มากกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ใดๆ ในโลกนี้

ถึงขนาดพาดหัวหน้าปกว่า… “ A MONARCHY FIGHTS FOR FREEDOM ” ย่อมไม่ธรรมดา

วีรบุรุษแห่งเอเชีย …

นิตยสาร “ไทม์” นิตยสารที่ทรงอิทธิพลของโลก ฉบับพิเศษในโอกาสครบรอบการก่อตั้งนิตยสารครบ 60 ปี ออกจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน  พ.ศ. 2549 ได้รวบรวมจัดอันดับวีรบุรุษแห่งเอเชีย ในหัวข้อ “60 Years of Asian Heroes” โดยยกย่องบุคคลสำคัญของเอเชีย 64 คน ใน 5 บทบาท คือ ผู้สร้างชาติ ศิลปินและนักคิด ผู้นำด้านธุรกิจ นักกีฬาและนักผจญภัย และผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจ ..(บางท่านอาจยังไม่ทราบ จึงนำมาลงให้ได้อ่านกันอีกครั้ง)

สำหรับกลุ่มบุคคลที่ได้รับยกย่องให้มีบทบาทเป็นแรงบันดาลใจ (Inspirations) นั้นมีทั้งสิ้น 14 คน อาทิ ดาไลลามะแห่งทิเบต  และแม่ชีเทเรซา ส่วนอองซาน ซูจี นักสู้เพื่อประชาธิปไตยของเมียนมาร์ ได้รับการเชิดชูในบทบาทผู้สร้างชาติ  ขณะที่บรูซ ลี ได้รับยกย่องในฐานะนักกีฬาและนักผจญภัย

เป็นที่น่ายินดีสูงสุดสำหรับคนไทยทั้งประเทศ ที่หนึ่งในบุคคลที่ได้รับการยกย่องในครั้งนี้ นิตยสาร “ไทม์” ได้สดุดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย ในบทบาทของผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจ (Inspirations) โดยไทม์ระบุว่า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก ทรงใช้พระบารมีแห่งราชธรรมชี้นำประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตหลายต่อหลายครั้ง

ตลอดระยะเวลาในช่วง 60 กว่าปีที่ผ่านมานับแต่ทรงขึ้นครองสิริราชสมบัติ  พระองค์ทรงแสดงให้เป็นที่ประจักษ์จากโครงการพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการ ที่ล้วนแต่เป็นโครงการที่ช่วยเหลือประชาชนที่ยากจนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทรงช่วยเหลือประชาชนในเขตชนบทอันห่างไกล  แม้ว่าเขตนั้นจะเป็นเขตของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ก็ตาม

กาลเวลาได้เป็นบทพิสูจน์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองหลายครั้งในประเทศไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์ตุลาคม ปี ค.ศ.1973 (พ.ศ. 2516) และพฤษภาทมิฬ ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535)  พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้วิกฤติการคลี่คลายลง  แม้กระทั่งการรัฐประหารครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ชาวไทยยังเชื่อมั่นในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าจะทรงเป็นที่ยึดมั่นให้คณะปฏิรูปคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชนตามที่ได้ให้สัตย์ปฏิญาณไว้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งหมดเป็นการแก้ไขปัญหาของประเทศไทยโดยอาศัยพระบารมีของพระองค์ทั้งสิ้น

หลายครั้งพระองค์ยังทรงแนะนำอย่างเงียบๆ และบางครั้งทรงชี้แนะอย่างเปิดเผย เพื่อเน้นให้รัฐบาลคำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะและประพฤติปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงประชาชนเป็นอันดับแรก บทความของไทม์ยังระบุด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรงสถานะอันสูงส่งเป็นที่เคารพรักได้ตลอด 60 ปีที่ทรงครองราชย์ ในขณะที่ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างล้มเลิกระบอบกษัตริย์  บางประเทศกษัตริย์และเจ้าชายถูกลดทอนพระราชอำนาจลง  หรือบางราชวงศ์ถูกขับให้ลี้ภัยหรือถูกประหาร ตรงกันข้ามกับพระราชสถานะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงและต่อเนื่องตลอดมา

นิตยสาร “ไทม์” ยังสดุดีพระองค์ท่านด้วยว่า เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นยุวกษัตริย์ของไทย ที่มีพระชนมายุเพียง 18 ชันษา ต่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลฯ ที่สวรรคตอย่างกระทันหัน สื่อหลายสำนักรวมทั้งไทม์ นิตยสารที่เพิ่งเปิดตัวในเอเชียขณะนั้น ก็ได้ตั้งคำถามว่า พระองค์จะสามารถปกครองบ้านเมืองท่ามกลางมรสุมทางการเมือง และความลี้ลับในเหตุการณ์ที่เกิดได้หรือไม่

 ข้อคำถามของนิตยสารไทม์ได้รับการพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกจะเสมอเหมือนได้ พระองค์ทรงดำรงความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ได้ เพราะทรงเป็นศูนย์กลางแห่งความรักและศรัทธาของประชาชนอย่างแท้จริง ทรงปกครองประเทศโดยอาศัยหลักคุณธรรมเป็นเครื่องชี้นำ

 พระราชกรณียกิจต่างๆ จำนวนมากได้กลายเป็นแบบอย่างของปวงพสกนิกรให้ดำเนินรอยตามพระองค์ท่าน เพราะทุกคนต่างเชื่อมั่นว่าการประพฤติปฏิบัติตนตามแนวพระราชดำรัส จะเป็นหนทางที่นำไปสู่ความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้อย่างยั่งยืน  จึงมิผิดเลยที่นิตยสารไทม์จะเชิดชูให้พะองค์ทรงเป็นบุคคลที่สมควรได้รับยกย่องให้มีบทบาทเป็นแรงบันดาลใจ (Inspirations) ของเอเชียในครั้งนี้

…………………………………………………………

Hero of Asia …

Magazine “Time” magazine, the richness of the world. Special Issue Celebrating the 60th year after the magazine was released in November 2006 (2549) to compile rankings of Asian heroes in the “60 Years of Asian Heroes” in honor of Asian people is 64 people in five roles. The author, artist and thinker. Business leaders. Athletes and adventurers. And an inspiration.

For people who have been regarded as an inspiration. (Inspirations) that there were 14 people including the Tibetan Dalai Lama and Mother Teresa and Aung San Suu Kyi’s fight for the democratization of Myanmar. Be true in a national role as Bruce Lee was hailed as a sportsman and adventurer.

It is desirable for the Thai people. The one person who has been honored in this magazine, “Time,” a tribute to the King. The role of the inspiration. (Inspirations) by the Times said. He was the king’s reign, the longest in the world. He used the prestige of Rachtrrm guide Thailand through many crisis.

During the past 60 years or more after the Throne. He seemed to be the works of more than 3,000 projects are all projects that help poor people to have better lives. He helps people in remote rural areas. Even if it is a communist or a terrorist.

Time is a testament to that. King is the soul of the Thai people truly Especially when the political crisis in Thailand The only event in October 1973 (2516) and May 1992, Tamil (2535) He has a critical role in resolving the crisis down. Even the most recent coup on September 19, 2006 (2549) Thais believe that the King is committed to the reform, restoring sovereignty to the people that have pledged to the King. All the problems of the country through the glory of Him.

He also suggested several times in silence. And sometimes, he should openly. To highlight the government to take into account the public interest and responsible behavior with regard to the first. The Time article also noted. King held the lofty status as beloved throughout his 60 year reign. While many countries. In Southeast Asia, and the monarchy abolished. Some of the kings and princes is to reduce his power. Some were driven to house refugees. Or were executed. In contrast to the royal status of the King of Thailand and has been highly praised ever since.

Magazine, “Time,” a tribute to him, he said. When His Majesty the King ascended the throne as a young king of Thailand. At age 18 is the age of King Ananda Mahidol. Who died suddenly. Many media agencies, including the Time. Magazine launched in Asia at that time. He asked. He will be ruling the country in the midst of political turmoil. The mystery of the incident or not.

Question of the Time magazine has been proved to be proven that His Majesty the King is not any monarch in the world will be like that. He has served as a king. It is a center of love and faith of the people truly The country is governed by moral principles as a guide. Various royal duties. Many of the entire population to become a model followed by him. We are all confident that the good deeds of the King. The way to true happiness of life is sustainable. The New Time magazine is wrong to glorify God Joe was the person who should be regarded as an inspiration. (Inspirations) of Asia at this time.

…………………………………………………………

แถลงการณ์ของสมเด็จพระสังฆราชฯ ฉบับที่ 9 : สิ้นพระชนม์ลงแล้ว


แถลงการณ์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เรื่อง พระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขณะประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ฉบับที่ 9

เมื่อ 24 ตุลาคม 2556 คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว เมื่อเวลา 19.30 นาฬิกา ของวันนี้ สาเหตุเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
 
จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน 
 
 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
24 ตุลาคม พุทธศักราช 2556
************************
 
กำหนดการคร่าวๆ : ในวันที่ 25 ต.ค.(พรุ่งนี้) 08.00 น.จะเปิดให้พุทธศาสนิกชนเข้าแสดงความอาลัยต่อสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่รพ.จุฬาฯ และจะมีการเคลื่อนพระศพไปประดิษฐาน ณ พระตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร เวลา 12.00 น. และคาดว่าจะมีพิธีสรงพระศพสมเด็จพระสังฆราชฯ ในช่วงบ่าย วันที่ 25 ต.ค. 56 (พรุ่งนี้)

ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุจะมีการลดธงครึ่งเสา 3 วัน ข้า ราชการไว้ทุกข์ 15 วัน หลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสังฆราชฯ หรือเริ่มตั้งแต่วันวันที่ 25 ต.ค.นี้เป็นต้นไป

น้อมจิตส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยแด่ “สมเด็จพระสังฆราชฯ พระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์”


สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) (3 ตุลาคม พ.ศ. 2456—24 ตุลาคม พ.ศ. 2556) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2532 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชันษามากกว่าสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ในอดีตและทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกของไทยที่มีพระชันษากว่า 100 ปี

พระประวัติ
ขณะทรงพระเยาว์
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระนามเดิมว่า เจริญ คชวัตร ประสูติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2456 เป็นบุตรคนโตของนายน้อย คชวัตร และนางกิมน้อย คชวัตร ชาวกาญจนบุรี พระองค์มีน้องชาย 2 คน ได้แก่ นายจำเนียร คชวัตร และนายสมุทร คชวัตร บิดาของพระองค์ป่วยเป็นโรคเนื้องอกและเสียชีวิตไปตั้งแต่พระองค์ยังเล็ก หลังจากนั้น พระองค์ได้มาอยู่ในความดูแลของป้าเฮงซึ่งเป็นพี่สาวของนางกิมน้อยที่ได้ขอพระองค์มาเลี้ยงดู

เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนประชาบาล วัดเทวสังฆาราม จนจบชั้นประถม 5 (เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2 ในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ. 2468 ในขณะที่มีพระชันษา 12 ปี หลังจากนั้น ทรงไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรต่อและไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหน ทรงเล่าว่า “เมื่อเยาว์วัยมีพระอัธยาศัยค่อนข้างขลาด กลัวต่อคนแปลกหน้า และค่อนข้างจะเป็นคนติดป้าที่อยู่ ใกล้ชิดกันมาแต่ทรงพระเยาว์โดยไม่เคยแยกจากกันเลย” จึงทำให้พระองค์ไม่กล้าตัดสินพระทัยไปเรียนต่อที่อื่น

บรรพชาและอุปสมบท
เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์นั้นทรงเจ็บป่วยออดแอดอยู่เสมอ โดยมีอยู่คราวหนึ่งที่ทรงป่วยหนักจนญาติ ๆ ต่างพากันคิดว่าคงไม่รอดแล้วและได้บนไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะให้บวชเพื่อแก้บน แต่เมื่อหายป่วยแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ได้บวช จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถม 5 แล้ว พระองค์จึงได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อแก้บนในปี พ.ศ. 2469 ขณะมีพระชันษาได้ 14 ปี ที่วัดเทวสังฆาราม โดยมีพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆารามเป็นพระอุปัชฌาย์และพระครูนิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) เจ้าอาวาสสวัดศรีอุปลารามเป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล

ภายหลังบรรพชาแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษาและได้มาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม หลังจากนั้น พระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) พระอุปัชฌาย์ได้พาพระองค์ไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร และนำพระองค์ขึ้นเฝ้าถวายตัวต่อสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร (ต่อมา คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์) เพื่ออยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร พระงอค์ทรงได้รับประทานนามฉายาจากสมเด็จพระสังฆราชว่า “สุวฑฺฒโน” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เจริญดี”  จนกระทั่ง พระชันษาครบอุปสมบทจึงทรงเดินทางกลับไปอุปสมบทที่วัดเทวสังฆารามเมื่อ พ.ศ. 2476 ภายหลังจึงได้เดินทางเข้ามาจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เพื่อทรงศึกษาพระธรรมวินัยและที่วัดบวรนิเวศวิหารนี่เอง พระองค์ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุติกนิกาย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์

การศึกษาพระปริยัติธรรม
พระองค์ทรงเริ่มเรียนพระปริยัติธรรมตามคำชักชวนของพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) พระอุปัชฌาย์ ที่ตั้งใจจะให้พระองค์กลับมาสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามและจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเตรียมไว้ให้ โดยพระอุปัชฌาย์นำพระองค์ไปฝากไว้กับพระครูสังวรวินัย (อาจ) เจ้าอาวาสวัดเสน่หา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2470

แล้วจึงเริ่มเรียนภาษาบาลีโดยมีพระเปรียญจากวัดมกุฏกษัตริยารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร เป็นอาจารย์สอน หลังจากนั้น จึงเดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงสอบได้นักธรรมชั้นตรีได้เมื่อ พ.ศ. 2472 และทรงสอบได้นักธรรมชั้นโทและเปรียญธรรม 3 ประโยค ในปี พ.ศ. 2473

พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างมากในการสอบเปรียญธรรม 4 ประโยค แต่ผลปรากฏว่าทรงสอบตก ทำให้ทรงรู้สึกท้อแท้และคิดว่า “คงจะหมดวาสนาในทางพระศาสนาเสียแล้ว” แต่เมื่อทรงคิดทบทวนและไตร่ตรองดูว่าทำไมจึงสอบตก ก็ทรงตระหนักได้ว่าเหตุแห่งการสอบตกนั้นเกิดจากความประมาทโดยแท้ กล่าวคือ ทรงทำข้อสอบโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบด้วยสำคัญผิดว่าตนรู้ดีแล้ว ทั้งยังมุ่งอ่านเฉพาะเนื้อหาที่เก็งว่าจะออกเป็นข้อสอบเท่านั้น ซึ่งพระองค์ทรงพบว่าเป็นวิธีการเรียนที่ไม่ถูกต้องเพราะไม่ทำให้เกิดความรู้อย่างแท้จริง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์สอบตก เมื่อพระองค์ทรงตระหนักได้ดังนี้แล้วจึงทรงเปลี่ยนมาใช้วิธีเรียนแบบสม่ำเสมอและทั่วถึง พระองค์จึงสอบได้ทั้งนักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 4 ประโยค ในปี พ.ศ. 2475

หลังจากนั้น พระองค์ทรงกลับไปสอนพระปริยัติธรรมที่โรงเรียนเทวานุกูล วัดเทวสังฆาราม เพื่อสนองพระคุณพระเทพมงคลรังษีเป็นเวลา 1 พรรษา แล้วจึงทรงกลับมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารเพื่อทรงศึกษาพระปริยัติธรรมต่อไป โดยทรงสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค โดยในระหว่างที่ทรงอยู่วัดบวรนิเวศวิหารนั้น พระองค์ก็ยังคงกลับไปช่วยสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามอยู่เสมอ พระองค์ยังทรงศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง สอบได้เปรียญธรรม 9 ในปี พ.ศ. 2484

การปฏิบัติหน้าที่ด้านคณะสงฆ์
หลังจากที่พระองค์สอบได้เปรียญธรรม 9 แล้ว พระองค์ทรงเริ่มงานอันเกี่ยวเนื่องกับคณะสงฆ์อีกมากมาย ซึ่งนอกเหนือจากเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมแล้ว พระองค์ยังเป็นผู้อำนวยการศึกษาสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหารซึ่งมีหน้าที่จัดการศึกษาของภิกษุสามเณรทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลี รวมทั้งทรงเป็นสมาชิกสังฆสภาโดยตำแหน่งในฐานะเป็นพระเปรียญ 9 ประโยค

ต่อมา เมื่อมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2488 พระองค์ทรงรับหน้าที่เป็นกรรมการสภาการศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัย รวมทั้ง เป็นพระวินัยธรชั้นอุทธรณ์และรักษาการพระวินัยธรชั้นฎีกาในกาลต่อมา นอกจากนี้ ยังทรงเป็นเลขานุการในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์อีกด้วย

เมื่อมีพระชันษาได้ 34 ปี พระองค์ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ พระโศภนคณาภรณ์ โดยพระองค์ได้รับเลือกจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ให้เป็นพระอภิบาลของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชในระหว่างที่ผนวชเป็นพระภิกษุและเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2499 ต่อมา ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นธรรม ที่ พระธรรมวราภรณ์ โดยราชทินนามทั้ง 2 ข้างต้นนั้นเป็นราชทินนามที่ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานแก่พระองค์เป็นรูปแรก

ในปี พ.ศ. 2504 พระองค์ได้รับตำแหน่งเป็นผู้รักษาการเจ้าคณะธรรมยุตภาคทุกภาคและเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร ในปีเดียวกันนี้เองพระองค์ได้รับการสถาปนาที่ พระสาสนโสภณ  พระองค์เข้ารับตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 และยังคงดำรงตำแหน่งมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น ยังได้ทรงนิพนธ์ผลงานทางวิชาการ เอกสาร และตำราด้านพุทธศาสนาไว้มากมาย


สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
พ.ศ. 2515 พระองค์ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร ซึ่งเป็นราชทินนามที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานสถาปนาสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) พระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2359 ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร จึงเป็นตำแหน่งพิเศษที่โปรดพระราชทานสถาปนาแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระเท่านั้น

เมื่อสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2531 ทำให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในราชทินนามเดิม คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งราชทินนามดังกล่าวนับเป็นราชทินนามพิเศษ

กล่าวคือ สมเด็จพระสังฆราชที่มิได้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์นั้น โดยปกติจะใช้ราชทินนามว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ บางพระองค์ ครั้งนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งครั้งมีการใช้ราชทินนาม สมเด็จพระญาณสังวร สำหรับสมเด็จพระสังฆราชเพื่อเป็นพระเกียรติคุณทางวิปัสสนาธุระของพระองค์ นับเป็นสมเด็จพระญาณสังวรสังฆราชพระองค์แรกของประเทศไทย

หรืออ่านรายละเอียดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของพระองค์ได้
ใน http://www.sangharaja.org/ (ญาณสังวรธรรม)

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

“สมเด็จพระบรมฯ” ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราช


วันนี้ (24 ต.ค.2556) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พร้อมด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราช


วานนี้ เมื่อเวลา 15.37 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พร้อมด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ไปยังพระบรมราชานุสรณ์ พระลานพระราชวังดุสิต ทรงวางพวงมาลาของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพวงมาลาส่วนพระองค์ จากนั้น ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะ และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะ พระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันปิยมหาราช


เวลา 15.46 น. เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง ในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอภิรักษ์ขิตตสมัย วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการนี้ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ซึ่งประดิษฐานที่พระที่นั่งบุษบกมาลา แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ทรงกราบถวายบังคมพระบรมอัฐิ ซึ่งประดิษฐานที่พระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร
      จากนั้น พระสงฆ์ 57 รูป สวดพระพุทธมนต์ จบแล้วทรงจุดธูปเทียนดูหนังสือเทศน์ แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ที่หน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร สำหรับพระบรมอัฐิทรงธรรม ทรงศีล พระราชาคณะถวายศีลและถวายพระธรรมเทศนา จบแล้วทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ แล้วทรงทอดผ้าไตร ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ฯ รัชกาลที่ ๙ พ.ศ. ๒๔๙๙