วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พิธีซักซ้อมถวายสัตย์ปฏิญาณตน 5 ธันวาคม


เมื่อเวลา 08.00 น. วานนี้ (3ธ.ค.) ที่สโมสรทหารบก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำข้าราชการทั่วประเทศ กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นข้าราชการที่ดี และเป็นพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2556 โดยมีคณะรัฐมนตรี ผู้นำเหล่าทัพ ทหาร ตำรวจ หัวหน้าส่วนราชการระดับสูง พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร่วมในพิธี
       
ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล ก่อนนำข้าราชการกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะประพฤติปฏิบัติตนเป็นข้าราชการที่ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท มุ่งมั่นแน่วแน่แก้ไขปัญหาของชาติและของประชาชน สร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่แผ่นดิน ดำเนินชีวิตโดยยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนแห่งศาสนา และตามแนวทางในพระบรมราโชวาทตลอดไป จากนั้นได้ร่วมร้องเพลงพ่อแห่งแผ่นดิน และเพลงสรรเสริญพระบารมี
       
ทั้งนี้ การจัดพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณดังกล่าว สำนักงานข้าราชการพลเรือน เป็นเจ้าภาพหลักทุกปี ตั้งแต่ปี 2543 เพื่อปลูกฝังอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในกลุ่มข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ
       
ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พล.ต.วราห์ บุญญะสิทธิ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ในฐานะผู้บังคับกองผสมทหารรักษาพระองค์ เป็นประธานการซ้อมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณของทหารรักษาพระองค์ ซึ่งจะเป็นการกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณของทหารรักษาพระองค์ 13 กองพัน ประกอบด้วย กำลังพลรักษาพระองค์ 12 กองพัน ทหารม้ารักษาพระองค์ 1 กองพัน โดยเป็นการซ้อมใหญ่เต็มรูปแบบเสมือนจริง ตั้งแต่การจำลองขบวนรถพระที่นั่ง ยิงพลุธงตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การยิงสลุตหลวงถวายคำนับ 21 นัด การสวนสนามอัญเชิญธงชัยเฉลิมพลไปตามถนนเพชรเกษม และถวายสัตย์ปฏิญาณตน ณ ศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนเดินทางมาร่วมชมพิธี และร่วมบันทึกภาพพิธีซ้อมดังกล่าวอย่างคึกคัก
       
พล.ต.วราห์ กล่าวว่า สำหรับพลุธงสัญลักษณ์ประจำพระองค์ 2 ผืนนั้น ประชาชนที่เก็บได้สามารถเก็บไว้เพื่อเป็นสิริมงคลได้
       
วันเดียวกัน นายดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง นายวีระ ศรีวัฒนะตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนายณรงค์ฤทธิ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รองเลขาธิการพระราชวังฝ่ายที่ประทับ ร่วมในพิธีบวงสรวงพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร พร้อมเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ประกอบด้วย พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร วาลวิชนี และฉลองพระบาทเชิงงอน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สำนักพระราชวัง เชิญมาประดิษฐาน ณ ท้องพระโรง ศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2556 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เสด็จออกมหาสมาคมในต่างจังหวัด
       

ด้านสำนักพระราชวัง ออกหมายกำหนดการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2556 วันที่ 5 ธันวาคม เวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯออกท้องพระโรง ศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ภายในนพปฎลมหาเศวตฉัตร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการเฝ้ารับเสด็จฯ
       
ครั้นสุดเสียงประโคมแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร นายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กราบบังคมทูลพระกรุณากล่าวนำทหารรักษาพระองค์ ถวายคำสัตย์ปฏิญาณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบ ผู้เข้าเฝ้าฯในมหาสมาคมทั้งหมดถวายความเคารพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯกลับ
       
เวลา 17.00 น. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในการพิธีทรงตั้งสมณศักดิ์ และเจริญพระพุทธมนต์ อนึ่ง ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. สำนักพระราชวัง จัดที่สำหรับลงพระนาม ลงนามถวายพระพรไว้ในพระบรมมหาราชวัง และวังไกลกังวล
       
วันที่ 6 ธันวาคม เวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ในพระบรมมหาราชวัง ในการพิธีประเคนภัตตาหารพระสงฆ์
       
วันที่ 8 ธันวาคม เวลา 17.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ เสด็จฯออก ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา คณะทูตต่างประเทศและผู้แทนฝ่ายกงสุล เข้าเฝ้าฯถวายพระพรชัยมงคล ในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา
       
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงได้เตรียมให้บริการรถรับ-ส่งประชาชนไปยังวังไกลกังวล ได้แก่ ขบวนรถไฟเที่ยวพิเศษ ไม่คิดค่าบริการ จากสถานีหัวลำโพง เวลา 08.00-17.00 น. วันที่ 4-5 ธันวาคม รถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน กรุงเทพฯ-ปราณบุรี และกรุงเทพฯ-ประจวบคีรีขีนธ์ วันละ 190 เที่ยว ที่สถานีขนส่งสายใต้ และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และมีบริการรถบขส. 20 คันรับ-ส่งประชาชนระหว่างที่จอดรถกลาง ถึงลานท้องพระโรงทั้งขาไปและกลับโดยไม่คิดค่าบริการ ส่วนประชาชนที่ขับรถยนต์ไป ได้เตรียมสถานที่จอดรถไว้แล้ว สอบถามได้ที่ 1356

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 86 พรรษาในหลวง ณ วังไกลกังวล


ในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์กว่า 231 ปี มีการจัดพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาเหล่าบรรพกษัตริย์ต่อเนื่องตลอดมา ซึ่งส่วนใหญ่การจัดพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาจะจัดขึ้นในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร

แต่มีประวัติศาสตร์กล่าวอ้างว่ามีเพียงครั้งเดียวที่ มีการจัดพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ณ พระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม

แต่กระนั้น เมื่อสืบค้นจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งตรวจสอบจากนักวิชาการทางประวัติศาสตร์ กลับปรากฏหลักฐานว่ามีความเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการจัดพระราชพิธีเฉลิมพระ ชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ณ พระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม

เพราะในวันที่ 1 มกราคม ของช่วงรัชสมัย อันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของรัชกาลที่ 6 มักจะไม่เสด็จแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม แต่มักจะเสด็จแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังมฤคทายวัน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรีแทน


ฉะนั้น ต่อการที่มีการจัดพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในวันที่ 5 ธันวาคม 2556 จึงถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของกรุงรัตนโกสินทร์ และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรัชกาลปัจจุบัน นับจากพระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติ ที่มีการจัดพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ณ มหาสมาคม ศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

ผล เช่นนี้ จึงทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2556 ครั้งที่ 2/2556 

ภาย หลังการประชุม นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกันแถลงข่าวกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ ในศุภวาระวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2556 ว่าปีนี้มีกิจกรรมลักษณะพิเศษ คือการเสด็จออกมหาสมาคมที่ศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวลจ.ประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่ 5 ธันวาคมเวลา 10.30 น. 

สำหรับ การเสด็จออกมหาสมาคมที่วังไกลกังวลนั้น เป็นการเสด็จออกมหาสมาคมในพระราชฐานต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกในรัชกาล ปัจจุบัน เนื่องจากภายในศาลาราชประชาสมาคมจัดพื้นที่เพื่อให้พระราชวงศ์ และข้าราชการฝ่ายต่าง ๆ เฝ้ารับเสด็จได้ประมาณ 600-800 คน ในวาระเดียวกันนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทหารรักษาพระองค์เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณด้วย 

ในส่วนของประชาชน มีโอกาสชมพระบารมีในระหว่างเส้นทางเสด็จฯ จากพระตำหนักที่ประทับมายังศาลาราชประชาสมาคม โดยใช้เส้นทางถนนเพชรเกษม ความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ที่สามารถรองรับประชาชนได้ไม่น้อยกว่า 10,000 คน 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอให้ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่จะมาเฝ้า รับเสด็จ โดยจัดให้มีจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ตลอดเส้นทาง พร้อมทั้ง บริการความสะดวกอื่น ๆ เช่น น้ำดื่ม, อาหารว่าง, หน่วยพยาบาล และสุขาเคลื่อนที่ เพราะเป็นวาระสำคัญที่ประชาชนคนไทยจะได้มีความสุขร่วมกัน 

ขณะที่โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยจะถ่ายทอดพระราชพิธีนี้ โดยละเอียด เพื่อให้ผู้ชมติดตามรายละเอียดงานพระราชพิธีโดยใกล้ชิดด้วย

นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรียังเชิญชวนพี่น้องชาวไทยร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติต่าง ๆ ที่ทุกส่วนราชการ รวมทั้งภาคเอกชนร่วมกันจัดขึ้นดังนี้ 

หนึ่ง การจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ในเวลา 19.29 น. ของวันที่ 5 ธันวาคม ทั่วทั้งประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีจะร่วมกิจกรรมดังกล่าวกับมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช ที่ท้องสนามหลวงเช่นเดียวกับทุกปีที่ผ่านมา

สอง การแสดงวงโยธวาทิตเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2556 "1 คีตมหาราชาในดวงใจ โยธวาทิตไทยสู่สากล" ของกองทัพไทย ที่สนามกีฬากองทัพบก ในวันที่ 17 ธันวาคม 2556 

สาม การจุดพลุเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2556 "ดวงประทีปพราวนภา เทิดราชาราชินี บารมีศรีแผ่นดิน ครั้งที่ 6" ของกระทรวงกลาโหม ที่ชายหาด อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่ 21 ธันวาคม เวลา 21.00 น.เป็นต้นไป 

นอกจากนี้ ในวันที่ 7 ธันวาคม 2556 รัฐบาลจะเป็นเจ้าภาพจัดงานสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติ ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเตรียมการจัดงานไว้พร้อมแล้ว

ขณะที่ เทศบาลเมืองหัวหิน เตรียมธงโบก ทั้งธงตราสัญลักษณ์และธงชาติ จำนวน 11,000 ธง เทียนสีเหลืองอีก 10,000 เล่ม พร้อมน้ำดื่มสำหรับประชาชนด้วย โดยเบื้องต้นมีตัวแทนประชาชนที่แจ้งชื่อขอเข้าเฝ้ารับเสด็จ ทั้ง 8 อำเภอ พร้อมทั้งส่วนราชการ ราว 9,600 คน มารอเฝ้ารับเสด็จ ตั้งแต่อุโมงค์สนามบินหัวหินจนถึงวังไกลกังวล รวมระยะทางเกือบ 5 กิโลเมตร

นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะมีประชาชนจากจังหวัดใกล้เคียงต่าง ๆ ที่ทราบข่าวการเสด็จพระราชดำเนินของทั้ง 2 พระองค์ จะหลั่งไหลมาเข้าเฝ้ารับเสด็จเป็นจำนวนมาก เพราะทุกคนต่างต้องการเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ในการเสด็จแปรพระราชฐาน ณ มหาสมาคม ศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

“ในหลวง-พระบรมวงศานุวงศ์” พระราชทานความช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ต่างๆ


เมื่อ 2 ธ.ค.2556 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ พระราชทานความช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ต่าง ๆ

เมื่อ 28 พ.ย.2556 ที่สำนักงานเทศบาลตำบลสันมหาพน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ นายพลากร  สุวรรณรัฐ องคมนตรี เป็นประธานในพิธีพระราชทานความช่วยเหลือ ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานความช่วยเหลือแก่ ครอบครัวนางสาวอรวรา พุทธินาท ราษฎรอำเภอแม่แตง และครอบครัวนายภครักษ์ แซ่เฉียว ราษฎรอำเภอเมือง ซึ่งได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกาขอพระราชทานความช่วยเหลือ โดยได้พระราชทานทุนการศึกษาต่อเนื่อง ทุนประกอบอาชีพ ทุนสนับสนุนการดำรงชีพ และสิ่งของพระราชทาน จากนั้น องคมนตรีและคณะ ได้มอบถุงพระราชทานจำนวน 500 ถุง แก่ราษฎรอำเภอแม่แตง ในการนี้ หน่วยแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการรักษาพยาบาลและทันตกรรมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สภานายิกาสภากาชาดไทยทรงห่วงใยราษฎรในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ประสบภาวะความหนาวเย็น วันนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นผู้แทนพระองค์ นำเครื่องกันหนาว จำนวน 1,200ชุด ไปมอบให้ผู้สูงอายุ และราษฎรในพื้นที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ณ องค์การบริหารส่วนตำบลคีรีราษฎร์เพื่อช่วยเหลือราษฎรหมู่ที่ 1-13 ตำบลคีรีราฎร์ และที่องค์การบริหารส่วนตำบลรวมไทยพัฒนา เพื่อช่วยเหลือราษฎรหมู่ที่ 1-11 ตำบลรวมไทยพัฒนา เพื่อบรรเทาความหนาวเย็น และสร้างขวัญกำลังใจ จังหวัดตากมีพื้นที่ประสบภัยหนาวรวม 5 อำเภอ 25 ตำบล 203 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อนกว่า 77,000 คน เกือบ 40,000 ครัวเรือน

ส่วนที่ว่าอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ นายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง ภาฯยามยาก สภากาชาดไทย โปรดให้ นายอภัย จันทนจุลกะ รองประธานมูลนิธิฯ เป็นผู้แทนพระองค์ เชิญถุงยังชีพพระราชทาน รวม 1,010 ชุดไปถวายแด่พระสงฆ์ และมอบแก่ผู้สูงอายุ คนพิการ ที่ประสบอุทกภัยพื้นที่อำเภอระโนด เพื่อสนับสนุนจังหวัด ในการช่วยเหลือ และเตรียมการช่วยเหลือด้านการยังชีพแก่ราษฎร เนื่องจากเกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน และมีน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรและที่อยู่อาศัยของราษฎร

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ยูเนสโกยกย่อง “ร.7-สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ-หม่อมงามจิตต์” บุคคลสำคัญของโลก ปี56


เมื่อ 21พ.ย.2556 ยูเนสโกยกย่อง “ร.7-สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ-หม่อมงามจิตต์” บุคคลสำคัญของโลก ปี56

นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมสมัยสามัญขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ครั้งที่ 37 ณ สำนักงานใหญ่ องค์การยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งตรงกับคืนวันที่ 20 พฤศจิกายน ตามเวลาในประเทศไทย ได้ประกาศยกย่องบุคคลสำคัญของโลก และร่วมเฉลิมฉลองประจำปี 2556 ซึ่งในส่วนของประเทศไทยได้รับการยกย่องบุคคลสำคัญของโลก และร่วมเฉลิมฉลองตามที่มีหน่วยงานเสนอพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และเสนอชื่อผู้ที่มีผลงานดีเด่นให้ยูเนสโก ดังนี้ 1.พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสนอโดยสถาบันพระปกเกล้า เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ในการประกอบพระราชกรณียกิจในประเทศไทย หลังจากเสด็จกลับจากการศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2457 และเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันพระราชสมภพครบรอบ 10 ปีนักษัตร วันที่ 8 พฤศจิกายน ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และสื่อสารมวลชน

นางสุทธศรีกล่าวต่อว่า 2.สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ เสนอโดยราชินีมูลนิธิ เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันพระราชสมภพครบ 150 ปี วันที่ 1 มกราคม 2556 ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นด้านการศึกษาสำหรับเด็กหญิงและสตรี การศึกษาด้านสาธารณสุขศาสตร์ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ประยุกต์ และสังคมและมนุษยศาสตร์ และ 3.หม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร เสนอโดยมูลนิธิอนุสรณ์หม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร เพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีชาตกาล ในปี พ.ศ.2558 เนื่องจากเป็นผู้มีผลงานดีเด่นด้านสังคมสงเคราะห์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาชุมชน และการศึกษาด้านวัฒนธรรม

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

“ในหลวง” โปรดเกล้าฯ ผู้พิพากษา-ตุลาการเฝ้าฯถวายสัตย์


เมื่อ 21 พ.ย.2556 เวลา 17.10 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ศาลาเริง พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำตุลาการศาลทหารสูงสุด ตุลาการศาลทหารกลาง และตุลาการพระธรรมนูญศาลทหารชั้นต้น เฝ้า ฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

'ในหลวง' เสด็จออกท้องพระโรง 5ธันวา


'ในหลวง'เสด็จออกท้องพระโรงวังไกลกังวล 5 ธันวาคม รัฐ-เอกชนร่วมจัดงานเฉลิมพระเกียรติตลอดเดือน ส่วนราชการจัดนิทรรศการ'พระทรงเป็นยิ่งกว่ามหากษัตริย์'

เมื่อ 19 พ.ย.56 เวลา 13.50 น. นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวเตรียมการจัดงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2556

นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้รับทราบความคืบหน้าการเตรียมการพระราชพิธี และกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ ในศุภวาระเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2556 โดยสำนักพระราชวังแจ้งว่าบัดนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีหมายกำหนดการที่จะเสด็จออก ณ ท้องพระโรงศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม เวลา 10.30 น.

ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่เสด็จออก ณ ท้องพระโรงศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล โอกาสเดียวกันนี้ ทหารรักษาพระองค์จะได้เฝ้าฯ ถวายคำสัตย์ปฏิญาณด้วย

"รัฐบาลได้รับทราบข่าวที่เป็นมงคลนี้ด้วยความปีติยินดี และจะได้มอบหมายให้สื่อมวลชนของรัฐ และขอความร่วมมือสื่อภาคเอกชน ถ่ายทอดพระราชพิธีสำคัญทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์เพื่อให้ประชาชนได้ชื่นชมพระบารมีโดยทั่วถึงกัน" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

นายธงทอง กล่าวว่า รัฐบาลประสานกับทุกส่วนราชการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “พระทรงเป็นยิ่งกว่ามหากษัตริย์” ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ระหว่างวันที่ 1-10 ธันวาคม นี้ เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณที่ทรงได้รับยกย่องจากสถาบันและหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ เช่น พระราชสมัญญาต่างๆ รางวัล ปริญญากิตติมศักดิ์ และสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย

เรื่องราวเหล่านี้ทำให้เห็นตระหนักชัดเจนว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรามิได้ทรงเป็นเพียงพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นพระราชภาระหลักเท่านั้น หากยังทรงมีความรู้เชี่ยวชาญและทรงพระปรีชาสามารถในสรรพวิทยาการหลากแขนง ได้ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประชาชนคนไทยมาตลอดเวลากว่าหกสิบปี จึงขอเชิญชวนประชาชน ร่วมกิจกรรมในงานนิทรรศการดังกล่าว" ปลัดสำนักนายกฯ กล่าว

นายธงทอง กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น ส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนยังได้ร่วมมือร่วมใจจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติอีกมากมายหลายรายการ เช่น การจุดเทียนชัยถวายพระพรในค่ำวันที่ 5 ธันวาคม เวลา 19.29 น. ณ ท้องสนามหลวงและสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ กระทรวงกลาโหมจัดการแสดงวงโยธวาทิต “1 คีตมหาราชาในดวงใจ โยธวาทิตไทยสู่สากล” และการแสดงพลุเฉลิมพระเกียรติ “ดวงประทีปพราวนภา เทิดราชาราชินี บารมีศรีแผ่นดิน ครั้งที่ 6”

กระทรวงพลังงานจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติเรื่อง “พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย” สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดโครงการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ สำนักงาน ก.พ.จัดพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เป็นต้น

ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาล นอกจากการจัดนิทรรศการ “พระทรงเป็นยิ่งกว่ามหากษัตริย์” ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ในวันที่ 7 ธันวาคม เวลา 18.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล รัฐบาลจะได้จัดงานสโมสรสันนิบาตเพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายชัยมงคลในศุภวาระวันเฉลิมพระชนมพรรษา เช่นเดียวกันกับทุกปีที่ผ่านมาด้วย

ด้าน พล.ต.วราห์ บุญญะสิทธิ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 1 จัดเตรียมทหารรักษาพระองค์ 12 กองพัน และกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ 1 กองพัน เข้าร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ส่วนขั้นตอนการปฏิบัติอาจมีการปรับลดกำลังทหารที่ร่วมพิธีเพื่อความเหมาะสมกับสถานที่ ส่วนรายละเอียด และพิธีการจะมีความชัดเจนหลังจากสำนักนายกรัฐมนตรีประชุมร่วมกับกองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 25 พฤศจิกายน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทหารรักษาพระองค์ทั้ง 13 กองพันได้ทำการซ้อมในพระราชพิธีฯ อยู่ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์(ร.11 รอ.) และในวันที่ 2 ธันวาคมนี้ ทหารรักษาพระองค์ทั้งหมดจะทำการซ้อมในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ในสถานที่จริง ณ วังไกลกังวล และในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ จะมีการซ้อมใหญ่ในพระราชพิธีทุกขั้นตอนอย่างละเอียดทั้งหมด
             
ขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 1 ได้จัดเตรียมทหารรักษาพระองค์จำนวน 12 กองพัน และกองพันทหารม้ารักษาพระองค์จำนวน 1 กองพัน เข้าร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ส่วนขั้นตอนการปฏิบัติอาจมีการปรับลดกำลังทหารที่ร่วมพิธีเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสถานที่ ส่วนในรายละเอียด และพิธีการที่ชัดเจนนั้น จะต้องรอรับทราบในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ภายหลังสำนักนายกรัฐมนตรีประชุมร่วมกับกองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ทำเนียบรัฐบาล อย่างไรก็ตามขณะนี้ทหารรักษาพระองค์ทั้ง 13 กองพันได้ทำการซ้อมในพระราชพิธีฯอยู่ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์(ร.11 รอ.) และในวันที่ 2 ธันวาคมนี้ ทหารรักษาพระองค์ทั้งหมดจะทำการซ้อมในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ในสถานที่จริง ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และในวันที่ 3 ธันวาคมนี้จะมีการซ้อมใหญ่ในพระราชพิธีทุกขั้นตอนอย่างละเอียดทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ในหลวงเสด็จลอยพระประทีป


เมื่อวันที่ 17 พ.ย. เวลา 16.39 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลง ณ ท่าลัดดา วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทรงประกอบพิธีลอยพระประทีป เนื่องในวันลอยกระทง

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พระราชกรณียกิจด้านดาวเทียม


ดาวเทียมไทยคมนับว่า เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การสื่อสารโทรคมนาคมของไทยก้าวสู่ยุคแห่งความล้ำหน้า และได้เข้ามามีส่วนร่วม ในการสนองพระราชดำริ ในเรื่องของการศึกษา คุณขวัญแก้ว วัชโรทัย เป็นผู้สนองพระราชภารกิจที่โรงเรียนไกลกังวล หัวหิน ซึ่งขณะนี้ได้พยายามที่จะนำเอาดาวเทียมไทยคม เข้าไปใช้ในกิจการด้านการเรียนการสอน เจตนารมณ์ดังกล่าว เป็นการสนองตอบความต้องการของประชาชน และเป็นการปรับปรุงในเรื่องของการศึกษาให้สอดคล้องกับยุคสมัยอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการจัดการศึกษาใต้ร่มพระบารมีอย่างแท้จริง และที่สำคัญเพื่อเป็นการสนองพระบรมราโชบายทางการศึกษา ในอันที่จะทำให้โรงเรียนไกลกังวลเป็นเครือข่ายและเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาไทยคมอย่างแท้จริง

กล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นอเนกอนันต์ต่อประเทศชาติ ที่ได้มีพระราชดำริ ให้มีการพัฒนางานทางระบบวิทยุสื่อสารขึ้นในประเทศอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เพราะสังคมปัจจุบันนั้น การสื่อสารก็เปรียบเสมือนกับระบบประสาทของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นจึงนับได้ว่า พระองค์ท่านนั้นมีสายพระเนตรที่ยาวไกล ทรงเห็นบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการสื่อสาร

พระราชกรณียกิจด้านวิทยุกระจายเสียง


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยในเรื่องวิทยุเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเยาว์ ซึ่งพระองค์ประทับอยู่ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ได้ทรงซื้ออุปกรณ์เครื่องรับวิทยุ ซึ่งมีวางขายเลหลังราคาถูกทรงประกอบเป็นเครื่องรับวิทยุชนิดแร่ สามารถรับฟังวิทยุกระจายเสียงในยุโรปได้หลายแห่ง ต่อมาเมื่อกิจการวิทยุเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ได้นำหลอดวิทยุมาใช้ในเครื่องรับ-ส่งวิทยุ และเครื่องขยายเสียง และพระองค์ท่านก็ได้ทรงทดลองอุปกรณ์แบบใหม่นี้ด้วยเช่นกัน

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินกลับมา ประทับอยู่ในประเทศไทยเป็นการถาวร ในปี พ.ศ. 2495 พระองค์ได้ทรงตั้งสถานีวิทยุ อ.ส. ขึ้นที่พระราชวังสวนดุสิต และชื่อสถานีวิทยุดังกล่าวได้ทรงนำมาจากอักษรย่อของพระที่นั่งอัมพรสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ออกอากาศครั้งแรก ต่อมาจึงย้ายสถานีวิทยุ อ.ส. เข้าไปตั้งในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

สถานีวิทยุ อ.ส. เมื่อแรกตั้งเป็นสถานีเล็กๆ มีเครื่องส่ง 2 เครื่อง ขนาดที่มีกำลังส่ง 100 วัตต์ ออกอากาศด้วยคลื่นสั้นและคลื่นยาวในระบบ AM พร้อมๆ กัน เครื่องส่งรุ่นแรกนี้เป็นเครื่องที่ กรมประชาสัมพันธ์ทูลเกล้าฯ ถวายและติดตั้งให้ด้วยเมื่อออกอากาศไปได้ระยะหนึ่ง และในระบบคลื่นสั้นก็มีจดหมายรายงานผลการรับฟัง เข้ามาจากหลายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เยอรมันฯ เป็นต้น ดังนั้นจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขยายกำลังส่ง โดยมีชื่อรหัสสถานีว่า HS 1 AS ในปี พ.ศ. 2525 สถานีวิทยุ อ.ส. ได้เพิ่มการส่งกระจายเสียงในระบบ FM ขึ้นอีกระบบหนึ่ง ในการขยายด้านกำลังส่งนั้นอุปกรณ์ต่างๆ ล้วนแต่มีผู้โดยเสด็จพระราชกุศล เพื่อให้สถานีวิทยุ อ.ส. สามารถบริการประชาชนได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น อาจถือได้ว่าเป็นสถานีวิทยุเอกชนเพียงแห่งเดียวที่สามารถกระจายเสียงคลื่นสั้นได้ ทั้งนี้เพราะถือว่าเป็นเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์

พระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์ที่ทรงตั้งสถานีวิทยุ อ.ส. เพื่อเปิดโอกาสให้พสกนิกรมีช่องทางในการติดต่อกับพระองค์ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนตามพิธีการเหมือนในสมัยก่อน ทรงใช้สถานีวิทยุเพื่อเป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์ติดต่อข่าวสารกับประชาชน และเป็นสื่อสัมพันธ์ระหว่างพระองค์และประชาราษฎร์ ที่ทรงแสดงให้ทราบถึงใจรักที่พระองค์ท่านพระราชทานให้กับประชาชนทั่วทุกคน 

นอกเหนือจากเป็นสถานีวิทยุของสื่อมวลชนเพื่อการบันเทิง และเผยแพร่ความรู้กับประชาชนแล้ว ยังได้ทำหน้าที่แจ้งข่าวสารแก่ประชาชนในโอกาสสำคัญ หรือเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญต่างๆ ขึ้น เช่น การเกิดโรคโปลีโอระบาดในปี พ.ศ. 2495 อหิวาตกโรคในปี พ.ศ. 2501 และเมื่อเกิดวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกในปี พ.ศ. 2505 โดยมีพระราชดำริให้ใช้สถานีวิทยุ อ.ส. เพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรม จนเป็นบ่อเกิดของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ซึ่งปัจจุบันมีคุณขวัญแก้ว วัชโรทัย ทำหน้าที่นายสถานี เล่าให้ฟังว่า นโยบายหลักเกี่ยวกับการบริหารงานของสถานี ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้ก็คือ การเปิดโอกาสให้คนที่มีความรู้ ความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชการหรือเอกชน ได้เข้ามาสนองพระมหากรุณาธิคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ของสถานีจึงเป็นอาสาสมัครทั้งสิ้น และทรงรับภาระต่างๆ ด้านสถานีด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ พระองค์ทรงใช้นโยบายประหยัดและใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าที่สุด และในปัจจุบันนี้สถานีวิทยุ อ.ส. ยังคงกระจายเสียงเป็นประจำทุกวันเว้นวันจันทร์ โดยออกอากาศทั้งคลื่นสั้นและคลื่นยาว ในระบบ AM 1332 KHzและ FM 104 MHz ควบคู่กันไปด้วยกำลังส่ง 10 กิโลวัตต์ โดยออกอากาศวันอังคารถึงวันเสาร์ เวลา 10.30-12.00 และ 16.00-19.00 วันอาทิตย์ เวลา 9.00-12.00 หยุดทุกวันจันทร์

พระราชกรณียกิจด้านสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยด้านการสื่อสารตั้งแต่ทรงพระเยาว์ "...ทรงทดลองต่อสายไฟพ่วงขนานกับลำโพงขยาย ของเครื่องรับวิทยุส่วนพระองค์ที่ผลิตจากประเทศสวีเดน ยี่ห้อ 'Centrum' จากห้องที่ประทับพระองค์ท่านไปยังห้องที่ประทับของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทั้งสองพระองค์ทรงพอพระทัยในบริการเสียงตามสายไม่น้อย..." (สุชาติ เผือกสกนธ์, วันสื่อสารแห่งชาติ : 2530)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงอุทิศพระองค์ พระอัจฉริยะและพระอุตสาหะทั้งมวล เพื่อราษฎรในทุกภูมิภาค พระองค์ทรงมีดำริให้มีการพัฒนาด้านระบบวิทยุสื่อสารอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กล่าวคือสามารถรับส่งได้ไกลยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์ทรงใช้เครื่องมือสื่อสารพกติดพระองค์ เพื่อประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ อยู่เสมอ เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงขาดไม่ได้คือการสดับตรับฟังข่าวทุกข์สุขของประชาชน ดังเช่น ในระหว่างการเสด็จเยี่ยมราษฎรได้ทรงพบว่า มีผู้ใดที่กำลังป่วยเจ็บจำเป็นต้องบำบัดรักษา จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะแพทย์ผู้ตามเสด็จดูแลตรวจรักษาทันที ในบางรายที่มีอาการป่วยหนัก จำเป็นต้องส่งตัวเข้าบำบัดรักษาในโรงพยาบาลท้องถิ่นหรือโรงพยาบาลในกรุงเทพมหานครโดยเร็ว หากมีเวลาเพียงพอ พระองค์ท่านจะรับสั่งผ่านทางวิทยุถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตำรวจตระเวนชายแดน ขอรับการสนับสนุนเรื่องการขนส่ง เช่น เฮลิคอปเตอร์ เพื่อนำผู้ป่วยเจ็บส่งยังที่หมายปลายทางด้วยพระองค์เอง นอกจากนี้ พระองค์ได้ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำระบบสื่อสารแบบถ่ายทอดสัญญาณหรือ Repeater ซึ่งเชื่อมต่อทางวงจรทางไกลขององค์การโทรศัพท์ฯ ให้มูลนิธิแพทย์อาสาฯ (พอ.สว.) นำไปใช้เพื่อช่วยเหลือรักษาพยาบาลแก่ผู้เจ็บป่วยในท้องถิ่นห่างไกล

ในเรื่องการปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงพระราชทาน ในการปฏิบัติระยะแรกๆ ได้ประสบปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ไม่ทราบล่วงหน้า ซึ่งนักบินผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำแก้ไขโดยฉับพลัน เนื่องจากยังไม่มีการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ปฏิบัติการด้วยกัน จึงเป็นเหตุให้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร กล่าวคือฝนไม่ตกในเป้าหมายบ้าง ตกน้อย หรือไม่ตกตามที่คิดบ้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสดับตรับฟังข่าวการปฏิบัติการฝนเทียมทุกครั้ง และทรงทราบถึงปัญหาสำคัญคือ การขาดการติดต่อสื่อสารที่ดี จึงโปรดเกล้าฯ ให้ติดตั้งวิทยุให้แก่หน่วยปฏิบัติการฝนเทียม ทั้งทางอากาศและทางภาคพื้นดิน 

นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษาวิจัย รวมถึงการออกแบบและสร้างสายอากาศย่านความถี่สูงมาก หรือที่เรียกว่า VHF (วี.เอช.เอฟ) ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ

ประการแรก เพื่อที่จะได้ใช้งานกับวิทยุส่วนพระองค์ ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ที่จะให้ทราบเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสาธารณภัยที่เกิดขึ้นกับประชาชน เรื่องไฟไหม้ เรื่องน้ำท่วม ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ทรงช่วยเหลือได้ทันท่วงที

ประการที่สอง เพื่อที่จะพระราชทานให้แก่หน่วยราชการต่างๆ

ประการที่สาม เพื่อส่งเสริมให้คนไทยที่มีความรู้ ความสามารถและตั้งใจจริง ได้ใช้ความอุตสาหวิริยะในการพัฒนาระบบวิทยุสื่อสารขึ้นใช้เองภายในประเทศ

นอกเหนือจากวิทยุสื่อสารแล้ว ในเรื่องของเทเล็กซ์พระองค์ทรงสนพระทัยอยู่ไม่น้อย และสิ่งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทรงขาดคือ การพระราชทานพรปีใหม่ นอกจากจะทรงมีกระแสพระราชดำรัส พระราชทานพรปีใหม่แก่พสกนิกรไทยทางวิทยุและโทรทัศน์ทุกแห่งแล้ว พระองค์ท่านยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานพรทางเทเล็กซ์สม่ำเสมอทุกปี แต่ในปัจจุบันท่านทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการประดิษฐ์บัตรอวยพรปีใหม่แทน

นอกจากนี้พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารว่า การสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจทุกประเภท, การสื่อสารเป็นหัวใจของความมั่นคงของประเทศ และการสื่อสารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศให้ประชาชนอยู่ดีกินดี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ฯ รัชกาลที่ ๙ พ.ศ. ๒๔๙๙