วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พระมหากษัตริย์ กับการปกครองระบอบประชาธิปไตย


วัฒนธรรมไทยเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย หากจะขยายความคำว่าเอกลักษณ์ของชาติคือ ลักษณะของสิ่งทั้งหลาย หรือพฤติกรรมทั้งมวลในชาติ ซึ่งเป็นที่ยอมรับฝังลึกอยู่ในกระบวนการชีวิตและจิตใจของคนไทย โดยมีวัฒนธรรมประจำชาติเป็นสิ่งพื้นฐาน เอกลักษณ์จึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากวัฒนธรรม

เอกลักษณ์ของชาติมีองค์หลักคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ที่กล่าวถึงกฎเกณฑ์ในการปกครองประเทศ กลไกในการปกครอง ตลอดจนสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย และมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยเหตุผลที่ว่า

1. พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่มาแห่งเกียรติศักดิ์ เพราะทรงมีพระราชตระกูลสูง ย่อมทำให้เกิดความไว้วางใจและศรัทธาต่อพระองค์ สมคำกล่าวที่ว่า “พระราชาเป็นสง่าแห่งแว่นแคว้น”

2. เหตุที่ทรงรับตำแหน่ง เพราะสืบราชสันตติวงศ์ ไม่ใช่เพราะคะแนนเสียงจากผู้ใด จึงทำให้ทรงเป็นกลางทางการเมืองได้อย่างแท้จริง มีผลให้ทรงประสานผลประโยชน์ของชาติลุล่วงได้ด้วยดี

3. เพราะทรงเป็นประมุขของประเทศอย่างถาวร ทำให้ทรงมีโอกาสสะสมประสบการณ์ มีพระปรีชาสามารถ เข้าพระราชหฤทัยถึงปัญหาของการบริหารราชการ

4. ทรงเป็นศูนย์รวมแห่งความเป็นชาติและความสามัคคีของคนในชาติ ในขณะที่นักการเมืองอื่นไม่สามารถทำได้ เพราะเมื่อมีการเมืองเข้าเกี่ยวข้องก็อาจเกิดความขัดแย้งกันได้

โดย มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งกำหนดพระราชอำนาจที่จำกัดภายใต้รัฐธรรมนูญของประเทศไทย พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องทรงมีพระราชกรณียกิจมากมายที่มิได้กำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของภาระหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

ถึงกระนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับทรงนิยามพระราชกรณียกิจของพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ไทยคือ การบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรทุกหมู่เหล่าในแผ่นดินไทย พระองค์ทรงเลือกที่จะเป็นพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพสกนิกรของพระองค์ตลอดเวลา

จะเห็นได้ว่า คนไทยกับพระมหากษัตริย์นั้นคู่กันมาตั้งแต่เป็นชาติไทยแล้ว ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ จึงได้ดำรงสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้แต่ให้ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ดังพระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 มาตรา 3 บัญญัติว่า “มาตรา 3 กษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ พระราชบัญญัติก็ดี คำวินิจฉัยของศาลก็ดี การอื่นๆ ซึ่งจะมีบทกฎหมายระบุไว้โดยเฉพาะก็ดี จะต้องกระทำในนามกษัตริย์”

เมื่อรัฐธรรมนูญตกลงในหลักการที่จะให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของชาติแล้ว ก็จำเป็นต้องถวายความเคารพยกย่องพระราชฐานะ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2535 จึงบัญญัติว่า “มาตรา 6 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และกำหนดโดยปริยายว่า พระมหากษัตริย์จะต้องทรงอยู่เหนือการเมือง กล่าวคือ ต้องทรงวางพระองค์เป็นกลาง ไม่เข้ากับพรรคการเมืองใด การปรึกษาราชการแผ่นดินต้องทรงกระทำกับคณะรัฐมนตรีหรือคณะองคมนตรีเท่านั้น และจะต้องทรงปลีกพระองค์จากปัญหาข้อขัดแย้งทางการเมือง คือไม่ทรงวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ทางการเมืองในที่สาธารณะ ในทางกลับกัน ย่อมถือเป็นมารยาททางการเมืองว่านักการ เมืองจะไม่อ้างถึงพระมหากษัตริย์ว่าทรงพระกรุณาแก่ตนเป็นพิเศษอย่างใดรวม ทั้งไม่นำพระราชกระแสพระราชดำริทางการเมืองออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยเด็ดขาด

พระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยด้านนิติบัญญัติทางรัฐสภา ดังรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2535 บัญญัติว่า “มาตรา 93 ร่างบัญญัติที่ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัตินั้นจากรัฐสภา เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้”

อย่างไรก็ตาม พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจที่จะยับยั้งร่างพระราชบัญญัติใดที่ไม่ทรงเห็นชอบด้วย ด้วยการพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือทรงเก็บร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ ในกรณีที่พระราชทานร่างพระราชบัญญัติคืนมา หรือพ้น 90 วันแล้วยังไม่ได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ ถ้ารัฐสภาลงมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยว่าสองในสามของจำนวน สมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องนำร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีกครั้งหนึ่ง หากไม่ลงพระปรมาภิไธยพระราชทานคืนภายใน 30 วัน ให้นายกรัฐมนตรีต้องนำร่างพระราชบัญญัตินั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้ บังคับเป็นกฎหมายได้ เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว (มาตรา 98)

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยยังคงมีพระราชอำนาจที่จะพระราชทานพระราชดำริเป็นการเตือนสติแก่รัฐสภา รัฐสภาต้องพิจารณาทบทวนร่างกฎหมายนั้นเป็นกรณีพิเศษ ใช้คะแนนเสียงข้างมาก และอำนาจในการชี้ขาดขั้นสุดท้ายก็เป็นของรัฐสภา ซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวทรงปฏิบัติพระองค์ตามทศพิธราชธรรม จะเห็นได้จากพระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจต่างๆ ทรงปฏิบัติอย่างเที่ยงตรงต่อภาระหน้าที่ เที่ยงตรงต่อเวลา เที่ยงตรงต่อพระราชปณิธานในพระราชหฤทัยที่ทรงมีต่อพสกนิกรโดยมิได้ละเลย และย่อท้อ

โดยเฉพาะทศพิธราชธรรมข้อที่เก้า คือขันติ อดทนต่อทุกสิ่งที่มากระทบต่อพระวรกาย และพระราชหฤทัย ทรงปฏิบัติพระองค์อยู่ในกรอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศว่า พระองค์ทรงเป็น “ยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์”

ตลอดระยะเวลา 60 ปีแห่งการครองสิริราชสมบัติ ประชาชนชาวไทยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม


**บางส่วนจากหนังสือ เย็นศิระเพราะพระบริบาล ของทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานถุงยังชีพช่วยน้ำท่วมชลบุรี

006976

  นายประสงค์ วิทูลกิจจา เลขาธิการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และคณะกรรมการมูลนิธิ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดชลบุรี นำถุงยังชีพพระราชทาน จำนวน 1,000 ชุด ไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบอุทกภัยที่ อ.พนัสนิคม ซึ่งได้รับความเดือดร้อนทั้งสิ้น 28 ตำบล 186 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับผลกระทบ 11,241 ครัวเรือน จากมวลน้ำหลากท่วมพื้นที่การเกษตร บ้านเรือน เส้นทางคมนาคม รวมถึงสิ่งสาธารณประโยชน์เสียหาย ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา

  ปัจจุบัน พื้นที่ได้พ้นวิกฤตแล้วส่วนใหญ่ ซึ่งผู้ประสบภัยที่เข้ารับถุงยังชีพพระราชทานต่างทราบซึ้งในพระมหา กรุณาธิคุณที่ทรงห่วงใยความเดือดร้อนราษฎรในฐานะพ่อของแผ่นดินเสมอมา

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

“ในหลวง” พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก แก่นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย

13813920981381392302l

  วันนี้( 11 ต.ค.2556) “ในหลวง”พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก แก่นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย
  วานนี้ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี   เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทยให้แก่นักกีฬา วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยและเจ้าหน้าที่
  ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ให้แก่นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย และเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้สร้างชื่อเสียงแก่ประเทศไทยได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ๒๐๑๓ ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๑๓ – ๒๑ กันยายน ๒๕๕๖ รวมทั้งสิ้น ๑๘ ราย  เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นกรณีพิเศษ ดังนี้
  นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย
  ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)
  นางสาววรรณา บัวแก้ว
  นางสาวปลื้มจิตร์ ถินขาว
  นางสาวอำพร หญ้าผา
  นางสาวนุศรา ต้อมคำ
  นางสาววิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์
  นางสาวอรอุมา สิทธิรักษ์
  นางสาวมลิกา กันทอง
  นางสาวฐาปไพพรรณ ไชยศรี
  นางนางสาวปิยะนุช แป้นน้อย
  นางสาวทัดดาว นึกแจ้ง
  นางสาวพรพรรณ เกิดปราชญ์
  นางสาวอัจฉราพร คงยศ

ผู้ฝึกสอนและผู้ช่วยผู้ฝึกสอน
ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)
  จ่าอากาศเอก เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร
  นาวาอากาศตรี ณัฐพนธ์ ศรีสมุทรนาค
  นายดนัย ศรีวัชราเมธากุล

เจ้าหน้าที่ประจำทีม
ชั้นทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย (ท.ม.)
  นายกฤตพล พิทธไชย

ชั้นตริตาภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.)
  นายพิสิษฐ์ นัทธี

ชั้นจัตุรถาภรณ์ช้างเผือก (จ.ช.)
  นางสาวทิพยรัตน์ แก้วใส

ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย จ.นครราชสีมา

32f3f9dbd4790d2fe45fb55ff54
      
  วานนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จากส่วนกลางและประจำ จังหวัดนครราชสีมา นำเครื่องอุปโภคบริโภคไปมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่อำเภอพิมาย, อำเภอชุมพวง และอำเภอโนนแดง รวม 2,000 ครัวเรือน
  ซึ่งได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากฝนตกหนัก ส่งผลกระทบต่อเขตเทศบาลนครนครราชสีมา และต้องระบายน้ำจากเขื่อนระบายน้ำบ้านคนชุม ที่อยู่เหนือเส้นทางการไหลของน้ำในลำตะคอง ทำให้มวลน้ำจากพื้นที่ต่างๆไหลสะสมรวมกัน จนประสบอุทกภัยในครั้งนี้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย จ.สระแก้ว-จันทบุรี

32f3f9dbd4790d2fe45fb55ff546
     
  มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปภัมภ์ ได้มอบให้ นายประสงค์ พิทูรกิจจา เลขาธิการ นายกองเอก วิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ ประธานฝ่ายบรรเทาทุกข์ และคณะจากส่วนกลาง พร้อมด้วยกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ประจำจังหวัดสระแก้ว เดินทางไปมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัย ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองสระแก้ว จำนวน 1,000 ครัวเรือน
  จากนั้น เวลา 14.00 น. คณะมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปภัมภ์ พร้อมด้วยกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ประจำจังหวัดจันทบุรี เดินทางไปมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัย ณ องค์การบริหารส่วนตำบลเทพนิมิตร อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี จำนวน 400 ครัวเรือน และเวลา 16.30 น. เดินทางไปมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัย ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอนายายอาม จำนวน 600 ครัวเรือน รวมทั้งหมด 2,000 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าสิ่งของพระราชทานทั้งสิ้น 1,085,420 บาท

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย จ.อยุธยาฯ

444445352

  10 ต.ค.2556 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย จ.อยุธยาฯ ที่โรงเรียนอิสลามศรีอยุธยามูลนิธิ ตำบลคลองตะเคียน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นผู้แทนพระองค์ นำชุดธารน้ำใจ สภากาชาดไทยพระราชทาน พร้อมน้ำดื่ม ไปมอบแก่ผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่หมู่ 1-13 ของตำบลคลองตะเคียน 
  ซึ่งขณะนี้อำเภอพระนครศรีอยุธยา มีพื้นที่น้ำท่วม 13 ตำบล 93 หมู่บ้าน มีผู้ประสบอุทกภัยกว่า 38,000 คน และระดับน้ำยังทรงตัว

โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


  โครงการ ช่วยเหลือราษฎรของพระองค์ก่อนที่จะพระราชทานไปนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงศึกษาทดลองจนรู้จริง จากสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ จากความเห็นของราษฎร และ นักวิชาการในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียหาย และติดตามผลด้วยพระองค์เอง
  โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการ ได้บูรณาการให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรทั่วทุกภาค เช่น โครงการด้านเกษตรกรรม การสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การชลประทาน การประมงการสหกรณ์ ฯลฯ
  ตัวอย่าง โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เกิดประโยชน์ต่อชุมชนชนบท เป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้เพื่อการพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่น ทรงมีพระราชดำริจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 6 แห่ง ทั่วประเทศ ที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดสกลนคร จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดนราธิวาส เพื่อเป็นตัวอย่างกับเกษตรกรและประชาชนครอบคลุมทุกภูมิภาค
  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวไทยทุกเชื้อชาติ ศาสนา ทั่วทุกภาคของประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของราษฎรอย่างแท้จริง พระองค์ได้พระราชทานแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นแก่นแท้ของการ พัฒนาที่ยั่งยืน

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช



พระราชกรณียกิจโดยสังเขป
  พระราชกรณียกิจพระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นสืบราชสันตติวงศ์ต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๙ แห่งบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลา ๖๐ ปีที่พระองค์ทรงดำรงฐานะเป็นพระประมุขของชาติ เป็นระยะเวลาการครองราชย์ที่ยาวนานกว่ามหาราชาองค์ใดในโลกและบูรพกษัตริย์องค์ใดในแดนสยาม และเป็นเวลา ๖๐ ปีนี้เอง ที่พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกาย พระสติปัญญาความสามารถ และพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอยู่เป็นนิจนานัปการ ด้วยหวังให้มหาชนชาวสยามถึงพร้อมด้วยประโยชน์สุข ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ตั้งแต่สมัยเมื่อเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ดังพระปฐมบรมราชโองการที่ได้พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยเมื่อครั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม
  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดพระองค์หนึ่งของโลก พระราชกรณียกิจของพระองค์มีมากมาย ทั้งในด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ด้านการศึกษา ด้านศาสนา ด้านความมั่นคงภายในประเทศ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้านศิลปะวัฒนธรรม และด้านการกีฬา
  แต่พระราชกรณียกิจหลักของพระองค์คือ การยกระดับสภาพความเป็นอยู่ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังท้องที่ต่างๆ พร้อมทอดพระเนตรสภาพปัญหาในท้องที่เหล่านั้นด้วยพระองค์เอง พระองค์จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละปี เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักตามภูมิภาคต่างๆ และจะทรงหาโอกาสเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ใกล้เคียงอยู่เสมอ จนอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีพื้นที่แห่งใดในประเทศไทย ที่พระองค์ไม่เคยเสด็จพระราชดำเนินไปถึง
  ตลอด ๖๐ ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่พระองค์ทรงงานอย่างไม่เคยว่างเว้น และทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่ถึงพร้อมทั้งความบริสุทธิ์บริบูรณ์ จึงเป็นช่วงเวลา ๖๐ ปีที่พสกนิกรชาวไทยอยู่ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุขภายใต้ร่มพระบารมี พระราชกรณียกิจทั้งหลายที่พระองค์ทรงบำเพ็ญ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ที่พระองค์ทรงมีต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถุงยังชีพช่วยผู้ประสบอุทกภัย


  8 ต.ค.2556 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถุงยังชีพช่วยผู้ประสบอุทกภัย ที่หอประชุมโรงเรียนวารินชำราบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น จำนวน  321 ชุด แก่ผู้ประสบอุทกภัยในตำบลคำน้ำแซบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
 โดยขณะนี้ทางอำเภอมีพื้นที่น้ำท่วมรวม 14 ชุมชน มีผู้ประสบอุทกภัย 1,018 ครัวเรือน ระดับน้ำลดลงเล็กน้อย

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คนไทย..รักในหลวงอย่างไร..?? โครงการเขื่อนแม่วงก์ กับ สถาบันฯ


  รัฐบาลกำลังจงใจทำให้ประชาชนวิวาทกัน  และพาลเข้าใจสถาบันพระมหากษัตริย์ผิด  ซ้ำซากอย่างจงใจ
  เพราะอะไร…
  1. ตอนนี้มีคนต่อต้าน EHIA ของโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ของกรมชลประทาน และเขาได้อธิบายถึงความไม่ชอบมาพากลของ EHIA ฉบับนี้  พร้อมด้วยข้อมูลสนับสนุนอย่างเหนียวแน่น
 แต่แล้วรัฐบาลก็ไม่อธิบายว่า EHIA ที่เขาสงสัยกันว่าจะฉ้อฉลนี้ เป็นมีความจริงเบื้องหลังอย่างไร แทนที่จะนำข้อมูลมาเผยให้ประชาชนรู้ กลับบอกว่าเขื่อนแม่วงก์นี้มีประโยชน์ ป้องกันน้ำท่วมได้อย่างไร
  ผมถึงบอกว่า ผู้จัดการที่ฉ้อฉลกับนักการเมืองที่ชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ มันจะทำเละเทะ เหลวแหลก
  2. มันจึงเกิดการจงใจเปิดประเด็นถกเถียงเบี่ยงเป้าใหม่ ไปเป็นว่า คนรักป่าไม่เอาเขื่อน ขัดแย้งกับคนเอาเขื่อนไม่รักป่า และกำลังสร้างเงื่อนไขให้ ม๊อบชนม๊อบ และยังบิดพลิ้วจงใจลากให้กลายเป็นประเด็นขัดแย้ง ระหว่างคนไม่ถูกน้ำท่วมกับคนถูกน้ำท่วม ซึ่งจะเลยเถิดไปมากจนน่ากลัวจะเกิดสงครามกลางเมือง
…ทั้งที่ประเด็นแท้จริง คือ เขาต่อต้าน EHIA ที่ฉ้อฉลนั้น และเขาต้องการเปิดโปงไอ้โม่งที่ทำ EHIA ฉ้อฉลนี้ พี่น้องไทยทั้งหลาย…อย่าหลงกล เบี่ยงประเด็น
ผมถึงบอกไงว่า ผู้จัดการที่ฉ้อฉล กับนักการเมืองที่ชั่วร้าย มันจะทำชาติฉิบหายโดยไม่ไยดี
  3. ตอนนี้ รัฐบาลกำลังสู้มติและข้อมูลอันหนักแน่นของฝ่ายคัดค้านไม่ได้ เพราะอธิบายเรื่องฉ้อฉลของ EHIA ไม่ได้ ก็พาลออกมาแสดงอำนาจข่มแล้ว “คนที่ต้านมันจะเอาอะไรหนักหนา” …. “ สัตว์ป่าสร้างได้ …” ทั้งที่ตัวเองนั้นแหละ พลิกลิ้น ตีสองหน้า มานานกว่า ๑๐ ปีจนคนจับได้คาหนังคาเขา ทั้งที่การเปิดเผยข้อมูล มันง่ายเสียยิ่งกว่าอะไร
ผมถึงบอกไงว่า ผู้จัดการที่ฉ้อฉล กับนักการเมืองที่ชั่วราย มันจะฮุบมรดก และป่าไม้ของชาติเป็นของตัวเอง ครอบครัวและพรรคพวกมันร่ำรวยกันถ้วนหน้า แต่ชาวประชายากจน เป็นหนี้เป็นสินและ น้ำท่วมซ้ำซากซ้ำเติม โอ่ มันช่างเป็นเวรกรรมของประชาชนชาวไทย จริงๆ
  4.. หนักเข้า เมื่อจะถูกจับเค้นความจริงอีกครั้ง กลุ่มคนฉ้อฉลก็เริ่มจนแต้ม เหมือนเรื่องฮุบผลประโยชน์จาก ปิโตรเลียม ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง โดยไม่อินังขังขอบกับข้อเท็จจริง คนเหล่านี้ก็เริ่มเบี่ยงประเด็น ปัดสวะ ด้วยเล่ห์เลวร้ายแบบเดิม ๆ
คือใส่ร้ายป้ายสีสถาบันพระมหากษัตริย์อีกครั้ง
  ด้วยการเอ่ยว่า…บอกความไม่จริงอีกครึ่งไม่ได้ (แต่ไม่ได้บอกว่าส่วนอีกครึ่งที่บอกไปแล้วนั้นเป็นคำโกหก) เขื่อนนี้เป็นเขื่อนโนโครงการพระราชดำริ เป็นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนมีการเชื่อมโยง Link กันให้วุ่นวาย
 ถึงแม้จะเป็นโครงการในพระราชดำริจริง ประชาชนส่วนใหญ่ประท้วง ต่อสู้และปกป้องการทำลายป่าไม้และสัตว์ป่า เพื่อเป็นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ จากการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ขนาด อจ.ศศิน เฉลิมลาภ ยอมทุกข์ทรมาน เดินประท้วงเป็นระยะทางนับร้อยกิโล
 ผมสามารถพูดได้เต็มปาก ว่า ถึงแม้โครงการนี้ดีเช่นไร (ตามโฆษณา จากคนที่อยากจะสร้าง) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ได้ให้สร้างแน่นอน เพราะทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ ว่า
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
เมื่อมีเหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ ของกรมชลประทาน จะดีเด่นขนาดไหนที่รัฐฯ ออกมาโกหกประชาชนเช่นไร
ถ้าประชาชนเดือดร้อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงมีทศพิธราชธรรม จะทรงฟังเสียงของประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ และเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ ของแผ่นดินเป็นหลัก
มิใช่ทรงฟังส่วนน้อย เพราะทรงได้มีพระปฐมบรมราชโองการในวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ไว้แล้ว และพระองค์มิได้มองถึงผลประโยชน์ในการสร้างเขื่อนแม่วงก์หรือในโครงการพระราชดำริทุกๆโครงการ
ไม่ว่า โครงการของกรมชลประทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพียงแต่ทรงวางแนวทางให้เท่านั้น
 และทุกๆโครงการ พระองค์จะทำเพื่อ ความผาสุกของประชาชนของพระองค์ มิได้ทรงหวังเศษๆเงิน (หรือก้อนใหญ่ๆ) ของงบประมาณของโครงการ เพราะฉะนั้นคนที่ออกมาพูดไม่ว่าจากฟากรัฐบาล หรือ บรรดานักวิชาการทั้งหลาย
 ขอความกรุณาโปรดกรุณาอย่าโยง โครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ ว่านี่เป็นโครงการในพระราชดำริ
 ถ้าจะพูดก็ขอให้พูดความจริงให้หมด อย่าครึ่งๆกลาง แฝงด้วยยาพิษ ใส่ร้ายองค์พระประมุขของพวกเรา ให้ประชาชนเข้าใจผิดๆได้
  และขอให้ย้อนกลับไปดู พระปฐมบรมราชโองการ ซะ ผมขอร้องทุกๆฝ่ายด้วยมิตรไมตรีนะครับ
 อย่าเอาการเมืองและผลประโยชน์มาโยงกับสถาบันฯ
 คนไทยที่รัก พวกเราหลงกลนักการเมืองชั่วร้ายและผู้จัดการฉ้อฉลอีกแล้ว….
 มันกำลังเสี้ยม ให้เกิดขัดแย้งระหว่างคนจับทุจริตฉ้อฉล EHIA ให้เข้าใจผิดในสถาบันฯ
 ผมจงใจและปรามาสเลยว่า นี่คือเล่ห์เลว ของคนที่กล่าวเช่นนั้น
 เรากำลังตรวจสอบ EHIA ที่ฉ้อฉล เราต้องการจับคนโกง EHIA เหล่านี้ อย่างไร้ยางอาย
 ขอบคุณ อ.ศศิน เฉลิมลาภและคณะที่กล่าวชัดเจนว่า เราต่อต้าน EHIA ที่ฉ้อฉล ไม่ใช่เขื่อนหรือไม่ใช่น้ำท่วมหรือไม่ท่วม
 ผมอยากบอกให้คนไทยรู้ทัน นักการเมืองเจ้าเล่ห์พวกนี้ว่า ถ้าเป็นโครงการในพระราชดำริของพระองค์ท่านจริง ยกเลิกง่ายมากครับ
  The King Can do No Wrong มิใช่แปลว่า กษัตริย์ทำอะไรก็ไม่ผิด แต่หมายถึง กษัตริย์จะระมัดระวัง และทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ต่างหาก
  ดังนั้น ถ้ารัฐบาลยืนยันว่า โครงการเหล่านี้ เป็นของในหลวงจริง รัฐบาลไม่มีอำนาจละก็ เข้าล็อค
 ผมพูดในฐานะพวกเราที่จงรักภักดีต่อสถาบันและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเปรียบ เหมือนเป็นลูกๆของพระองค์ท่านว่า ถ้าโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์เป็นของพ่อจริง เผลอๆ พวกเราจะได้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท คืนให้คนไทยทุกคน ครบทุกบาท ทุกสตางค์โดยพวกเราประชาชนทั้งหลายไม่ต้องเป็นหนี้เลยด้วยซ้ำไป
  เกรงแต่ว่า ผู้จัดการฉ้อฉล ที่ชอบแอบอ้างและผ่องถ่ายให้ลูกเมีย ครอบครัวของมันนั้น มันจะแบ่งหัวคิวกันไปเรียบร้อยแล้ว หัวเด็ดตีนขาด มันจะตีกันทุกวิธี และฮุบไว้ทำเองในฐานะผู้ได้รับคัดเลือกน่ะสิ
ไอ้ที่มาเยิ้ว เยิ้ว กันนั้น ล้วนแต่เป็นพวกตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ เพื่อมาหลอกให้พวกเรา ไม่ว่าเสื้อแดง เสื้อเหลือง นักอนุรักษ์ นักวิชาการที่ดีและชั่วทั้งสองฝ่าย ตลอดจนประชาชนที่หาเช้า กินค่ำแบบพวกเรา มาฆ่ากันเอง เพื่อผลประโยชน์ของพรรคพวกเค้า.
……………………………………………………………..
ที่มา : บางส่วนจากบทความในเฟซบุ๊ค พลตรี ม.จ.จุลเจิม ยุคล

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ฯ รัชกาลที่ ๙ พ.ศ. ๒๔๙๙